คำสอนพระอริยเจ้า
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วันนี้วันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๖ เป็นวันคล้ายวันเกิดคุณแม่จันดี โลหิตดี หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ปีนี้ท่านจะมีอายุครบ ๘๓ ปี คือเมื่อเกือบ ๑ เดือนที่ผ่านมา คุณแม่จันดี โลหิตดี ละสังขารลง เมื่อเวลา ๐๑.๐๓ นาฬิกา ของวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ ภายในกุฏิห้องปลอดเชื้อของท่านฝั่งอุบาสิกา ที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี คุณแม่จันดี ท่านเป็นน้องสาวแท้ๆ ขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน คุณแม่ท่านเป็นอุบาสิกานักปฏิบัติธรรมที่มีความเพียรเป็นเลิศตั้งแต่สมัยยังครองเรือน กล่าวคืออาชีพชาวนาในอดีต สมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยี จึงเป็นงานที่หนัก ลำบาก ต้องอดทน ส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่ที่ที่นา จนท่านต้องสร้างทางจงกรมไว้ แต่เวลาในการภาวนามีน้อยอาศัยทำนาไปด้วยภาวนาไปด้วยตลอด ครั้งนึงขณะที่เกี่ยวข้าวท่านพิจารณาธรรมไปด้วย จิตสงบ สว่างไสว ท่านก็ประคองจิตไป ค่อยๆ เกี่ยวข้าวไม่ยอมหยุด ไม่กินข้าว เกี่ยวข้าวไป จนจิตถอน ท่านเคยตกลงขอร้องพูดให้สามีเข้าใจว่าเวลาท่านจิตสงบ อย่าเรียก จะทำอะไรก็ทำไปเลยปล่อยท่านเลย โชคดีสามีเคยบวชจึงเข้าใจง่าย ท่านจะพูดกับสามีเสมอว่าชาตินี้จะขอปฏิบัติภาวนา และบอกสามีว่า..“อย่านอนใจในอัตภาพของภพชาติ” ความพากเพียร ตั้งใจของท่าน สามียอมใจอ่อน เพราะเห็นความตั้งใจจริง ขึ้นจากทำนาจะดึกดื่น แค่ไหนก็ช่าง ท่านจะเดินจงกรมจนดึก มีครั้งหนึ่งคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำไปเยี่ยมท่านที่นา เห็นทางจงกรมมีรอยเดินจนทางเป็นร่องเป็นมัน จนท่านได้พูดว่า “จันดีเจ้าอยู่ไหน ก็มีเครื่องหมายของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกที่ มิน่าข้าวของเจ้าถึงได้มากกว่าผู้อื่น”
สมดังพุทธพจน์ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า “...ภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้พวกเธอ พึงตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ “จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไป ประโยชน์อันใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบากบั่น ของบุรุษ ถ้ายังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว จักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี” ดังนี้แล้วไซร้ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอก็จักกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรยิ่งกว่า อันเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรผู้ออกบวชจากเรือน เป็นผู้ไม่มีเรือนโดยชอบ ได้ต่อกาลไม่นานในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) เข้าถึงแล้วแลอยู่เป็นแน่นอน”
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร” คือการมีแต่ปัญญายังจะช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ถาวร จะต้องมีความเพียรอันมั่นคงเท่านั้นจึงจะพ้นทุกข์ได้ถาวร ซึ่งการตั้งจิตอธิฐานเพื่อให้มีการทำความเพียรอย่างมั่นคงนี้จะช่วยให้ประสบผลสำเร็จได้ตามปรารถนา
คุณแม่จันดี โลหิตดี ได้บรรลุคุณธรรมขั้นสูงสุดในคืนวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ เวลาห้าทุ่มครึ่ง เป็นคืนที่ ฟ้าครึ้ม และลมพัดแรงมาก ท่านกราบพระแล้วนั่งภาวนาข้อธรรมได้ผุดขึ้นในจิตว่า..“อายตนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์”
จิตตอนนั้นจ่อเฉยๆ เหมือนไม่พิจารณาอะไร เสียงต้นขนุนใหญ่ที่แห้งตาย อยู่ข้างกุฏิ สั่นไหวเสียงดังลั่นเพราะลมแรง ท่านคิดว่าคงหักทับกุฏิ และท่านก็คงตายพร้อมๆ กัน อวิชชาขาดกระเด็นออกจากจิต ขณะนั้นรู้ว่า อวิชชาเหนียวแน่นมาก พร้อมกับก้นกระแทกพื้นสูง ๑ ศอก โลกธาตุหวั่นไหว แผ่นดินสะเทือน เสียงดังสนั่น ถึด.. ถึด .. ถึด .. ถึด.. แผ่นฟ้าม้วนกลับลงมา พันกันกับแผ่นดิน ม้วนรวมกัน แล้วจึงแยกออกจากกัน โลกธาตุหวั่นไหว พร้อมกับเสียงอนุโมทนาสาธุการ จากสวรรค์ทุกๆ ชั้น ชั้นพรหมทุกๆ ชั้น ลงถึงพื้นบาดาล ขวาซ้ายสถานกลาง ร่วมอนุโมทนา สาธุการ เสียงปี่พาทย์ บรรเลงขับกล่อม กระหึ่มก้องเสียงประกาศก้องขึ้นที่จิต “ว่าง-วางเป็นจิตพุทธะ > จิตบริสุทธิ > จิตเป็นธรรมชาติ” ขณะที่อวิชชาขาดออกจากจิต พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกๆ พระองค์ โดยเฉพาะพระหลวงตาได้ช่วยหนุนจิตท่าน ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง มีอะไรอีกมากที่ไม่สามารถพูดให้ฟังได้หมดเพราะของเหนือโลก เจอแล้วจะรู้เอง
ท่านบอกว่า..ไม่เหลือวิสัย มีอยู่ในใจของทุกคน อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นหละจะตายจากหัวใจ
... คืนนั้น ท่านกราบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระหลวงตา ทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิตเดียวกันในชาติปัจจุบัน
คืนนั้น ท่านไม่นอนทั้งคืน...
เมื่อพบพระหลวงตาอีกครั้ง จึงได้กราบเรียนท่านถึงสภาวธรรมทั้งหมด ที่เกิดขึ้น…
พอกล่าวจบ พระหลวงตาพูดขึ้นว่า.. “อ้าย หมดห่วงแล้ว...” (พี่หมดห่วงแล้ว)
ในเรื่องนี้ ผู้คนที่ศึกษาปริยัติธรรมมักมีข้อโต้แย้งว่า เป็นไปไม่ได้ ที่ฆราวาสจะบรรลุอรหันต์แล้วจะมีชีวิตยืนยาวต่อมาได้ ทำไมถึงไม่ตายภายใน ๗ วัน องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ให้โอวาทกล่าวถึงฆราวาสบรรลุอรหันต์ ทำไมไม่ตายภายใน ๗ วัน ไว้ดังนี้ว่า...
"..วิสุทธิธรรมหรือวิสุทธิจิตนี้ ไม่ใช่เป็นเพชฌฆาต ดังนั้นเหตุใดถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจะต้องไปตายภายใน ๗ วันถ้าไม่ได้บวช พระอรหันต์ท่านรู้วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องขันธ์ของท่าน การตายนี้เป็นไปตามวิบากขันธ์ พระอรหันต์บางองค์ตายด้วยความสงบของธาตุขันธ์ หรือจะตายดิ้นเหมือนหมาบ้าก็ตาม เรื่องขันธ์มันดิ้นของมันต่างหาก จิตที่บริสุทธิ์ แล้วไปดิ้นหาอะไร มันเป็นคนละฝั่งละฝาอยู่นั่น... คนตาดีมองดูช้างมันเห็นหมด จะไปสงสัยอะไร ช้างทั้งตัวไม่สงสัย พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านดู ธรรมท่านดูเหมือนคนตาดีดูช้าง พวกเราเรียนธรรมดูธรรมเหมือนตาบอดคลำช้าง เถียงกันวันยังค่ำ.."
หลวงปู่ลี กุสลธโร แห่งวัดภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ท่านได้กล่าวไว้ในเช้าวันที่คุณแม่จันดี ละสังขารว่า... "คุณแม่จันดีล้างใจสะอาดดีแล้ว ใจของคุณแม่ล้างสะอาดดีแล้ว จะรดน้ำศพหรือไม่รดน้ำศพก็ไม่เป็นไร เพราะว่าใจของคุณแม่จันดีสะอาดแล้ว เกลี้ยงแล้ว ไม่ต้องมีใครไปล้างให้ท่าน ท่านล้างสะอาดแล้ว เกลี้ยงแล้ว... "
หลวงปู่ปรีดา (ท่านพระอาจารย์ทุย) ฉันทกโร แห่งวัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ ท่านได้กล่าวถึงคุณแม่จันดี เมื่อครั้นทำการรักษาพยาบาลไว้ว่า... "สำหรับเรื่องจิตธรรมของแม่จันดี เราไม่ห่วง จิตของแม่จันดี เป็นธรรมที่ไม่มีอะไรเข้าถึงจิตท่าน ได้ท่านเป็นธรรมล้วน ๆ ธรรมขั้นนี้ไม่มีอะไรเข้าถึง ไม่มีอะไรเอื้อมถึง ใครจะทำอะไร ก็ทำได้เพียงกายภายนอกของท่านเท่านั้น ส่วนจิตของแม่จันดี เราขอบอกจิตที่ทรงธรรมถึงขั้นสูงสุดขนาดนี้ไม่ต้องห่วงแล้ว เราไม่ห่วงเลยนะเรื่องของแม่จันดี"
หลวงพ่อเมือง พลวัฑโฒ แห่งวัดป่ามัชฌิมาวาส อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ได้กล่าวถึงคุณแม่จันดีไว้ว่า... “คุณแม่จันดีเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นผู้มีภูมิจิตภูมิธรรม เพราะท่านเลือกทางเดินถูกทาง ทางศีลทางธรรมของท่าน ท่านตั้งอกตั้งใจเดินจนไปถึงจุดหมายปลายทาง เป็นที่ยอมรับของพระเจ้าพระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ และบุคคลทั่วไปว่า เป็นผู้ทรงคุณธรรม”
โอวาทธรรมคำสอนที่คุณแม่จันดี ให้ไว้กับศิษย์ เช่น “..นักปฏิบัติ หลงติดอยู่ที่ความพอใจ และไม่พอใจเป็นเครื่องอยู่ เอาความพอใจและไม่พอใจเป็นเครื่องอยู่ เมื่อพอใจได้สมใจก็เป็นสุข เมื่อไม่พอใจก็เกิดทุกข์ แต่ทั้งสุขและทุกข์ ก็ยังเป็นเงื่อนของสมมุติ...ไม่มีใครที่คิดจะอยู่ตรงกลาง ระหว่างสุขและทุกข์ เพราะตรงนั้นไม่มีทั้งความพอใจและไม่พอใจ แต่เป็นความพอ “พอดี” ...ผู้ที่หลงเพลินเล่นอยู่กับความพอใจ และไม่พอใจ จึงได้หนังสือเดินทางแห่งการท่องเที่ยวของภพชาติติดตัวไปตลอด ความพอใจและไม่พอใจ เป็นอาหารชั้นยอดของกิเลส..”
..น้อมใจไปที่กาย ดูกาย ดูจิต คือ ที่เดียวกัน เพราะผู้ดู คือ ผู้รู้ ผู้เดียวกัน ผู้ฉลาดเรียนรู้จากกาย-จิต ผู้อยากรู้ผิด เรียนภายนอก ธรรม คือ ประโยชน์ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ธรรม..
..ผู้ใดหมั่นพิจารณาจิต ผู้นั้นจะพบธรรมแท้ สุขแท้ นั่นคือ ที่สุดของผู้หยุดวัฏฏะ..