สันทิฏฐิโกจากผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
เมื่อพอใจในภพจึงเวียนว่ายในภพมิจบสิ้น พระนิพพานอันเป็นที่สงัด ซึ่งสัตว์ยินดีได้ โดยยาก
โลกธาตุนี้ มีลักษณะจิตอยู่ 2 กลุ่ม
1. กลุ่มที่ยังเพลิดเพลินในภพชาติ ติดภพ ยินดีในภพ พอใจในภพ อาลัยในภพ เมื่อได้ฟังธรรมว่า พระนิพพานคือ ธรรมชาติดับภพ ไม่มีภพ ย่อมถอยหลังไม่ติดใจในพระนิพพาน โดยเข้าใจว่าเมื่อไม่มีภพจะมีสุขได้อย่างไร ดังใน "ติลักขณาทิคาถา" ว่าไว้ "จงยินดีเฉพาะต่อพระนิพพานอันเป็นที่สงัด ซึ่งสัตว์ยินดีได้ โดยยาก"
ในกลุ่มนี้มักนิยมชมชอบในสมมุติปรุงแต่งต่างๆ ในภพนั้นๆ เช่น
- กามภพ เพราะชอบเสพกามคุณ ๕ ท่องเที่ยวไปใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
- รูปภพ เพราะชอบเสพฌาณ ตั้งแต่ ปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ตติยฌาณ จตุตถฌาณ และปัญจมฌาณ
- อรูปภพ เพราะชอบเสพอรูปฌาณ คือ อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
2. กลุ่มที่กำลังเดินทางเพื่อพ้นไปจากภพชาติ จากการเกิดแก่เจ็บตาย พ้นไปจากวัฏสงสาร
นักปฏิบัติทั่วไป หากจำแนกเป็นกลุ่มๆ ได้ดังนี้
- นักปฏิบัติ นักอ้อนวอน นักร้องขอ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวา ที่ตนเองเคารพบูชา เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนพึงพอใจ ครูบาอาจารย์หลายท่านสอนให้เห็นความจริงว่า เทพเทวาเอง ท่านก็ยังมีกิเลสอยู่ครบ เช่นเดียวกับ เราๆ หากจะให้ท่านช่วยแก้กรรมใดๆ ซึ่งบาป-บุญเป็นสิ่งที่ทำแล้วต้องรับทั้งสิ้น จะอยากหรือไม่ก็ตาม หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากเรานับถือในคุณงามความดีของท่านที่สร้างบุญกุศล แบบนี้จึงจะถูกต้องมากกว่า
- นักปฏิบัติ ที่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจ ในกฎแห่งกรรม ในอริยสัจ ในสัจธรรม จึงทำให้มีความเชื่อแบบผิดๆ ปฏิบัติแบบงมงาย ทำให้เนิ้นช้า เสียเวลา ไม่เกิดประโยชน์ เช่น ทำสิ่งนั้น แล้วจะได้ในสิ่งนั้น ซึ่งหากเราไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง สิ่งที่เราทำลงไปอาจจะเป็นเพียงความเข้าใจผิด คิดว่าจะได้แบบที่ได้รู้ได้ยินมาก็เป็นได้ เช่น เราทำบุญกุศลในสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถทำให้เกิดบุญกุศลในกลุ่ม "ทาน" แต่เราเข้าใจผิดว่าบุญที่เราทำนั้น จะช่วยให้เราไม่ต้องพบกับบาปกรรมที่เคยทำมา หรือเรียกได้ว่า "ตัดกรรม" มันเป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่จะดับขันธ์นิพพาน จึงจะหมดกรรม
- นักปฏิบัติ ที่มี "สัมมาทิฐิ" ซึ่งเป็นองค์แรกในมรรคมีองค์แปด อันเป็นแนวทางสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ นักปฏิบัติกลุ่มนี้จะเพียรเดินทางตามมรรคแปดที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาสั่งสอนไว้ อย่างพร้อมเพียงเสมอๆ หากขาดองค์ใดไป ไม่ครบแปดแล้วนั้น "อริยมรรคสมังคี" จะเกิดขึ้นภายในจิตไม่ได้เลย "อริยมรรคสมังคี" เป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถละสังโยชน์ในแต่ละส่วนๆ ลงได้ เมื่อเกิด "อริยมรรคสมังคี" ผลที่ได้คือ "ภพชาติ" ที่จะต้องเกิดจะเหลือเพียงไม่กี่ภพชาติก็จะนิพพานได้ หรือจะเรียกว่าได้ "อริยมรรคสมังคี" สามารถ "ตัดภพ-ตัดชาติ" ได้จริงๆ
- แต่ยังมีอีกบางกลุ่มที่ "หลงว่าตนบรรลุธรรม" ขั้นนั้นๆ ขั้นนี้แล้ว โดยขาดการ "โยนิโสมนสิการ" บ้างก็เกิด "วิปัสสนูปกิเลส" ทำให้เข้าใจผิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว ผู้จะหลุดพ้นแท้จริงแล้วนั้น นอกจากมรรคองค์แปดแล้ว จะต้องมี "สัมมาญาณะ" และ "สัมมาวิมุตติ"
ดัง พุทธพจน์ และ พระสูตร ว่าไว้
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
"สัมมาญาณะ" และ "สัมมาวิมุตติ" จะเป็นสิ่งที่คาดเดา คิดค้น ปรุงแต่งเองไม่ได้ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี "สัมมาญาณะ" และ "สัมมาวิมุตติ" เป็นธรรมดา
ท้ายสุดใน "วัฏสงสาร" ไม่มี "อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ความมหัศจรรย์" ใดๆเลย ที่จะเทียบเท่า ความดับทุกข์ ดับการเวียนว่ายตายเกิดตลอดกาล สิ่งนี้คือ "สันทิฏฐิโก"