สันทิฏฐิโกจากผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
สุขเพราะคิด สิ่งใดทำให้พอใจ เราก็เป็นสุข, ทุกข์เพราะคิด สิ่งใดทำให้ไม่พอใจ เราก็เป็นทุกข์
ดิ้นรนขวนขวาย เพราะไม่รู้ว่ามีชีวิตเพื่ออะไร- หากเป็นนักปฏิบัติแสวงหาทางหลุดพ้น แสดงว่าเขารู้ว่ามีชีวิตเพื่ออะไร
- หากใช้ชีวิตเสพสุขเสพทุกข์ไม่แสวงหาทางหลุดพ้น แสดงว่ายังคิดว่าเกิดมาเพื่ออยู่บนโลก แก่แล้วก็ตายแค่นั้น
นักปฏิบัติแสวงหาทางหลุดพ้น ทำไมต้องอยากหลุดพ้น?
เพราะ การเกิดแก่เจ็บตาย การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น เป็นทุกข์
พ้นทุกข์ได้อย่างไร?
นิพพาน คือ ความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์ พ้นทุกข์ทั้งปวง
ทำอย่างไรจึงจะนิพพาน?
ต้องรู้แจ้งเห็นจริงใน อริยสัจ ๔ ปฏิบัติมรรคผลนิพพาน เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปด เจริญสมถะวิปัสสนา จนรู้เท่าทันความคิดปรุงแต่ง เห็นไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) ในทุกสรรพสิ่ง เพื่อที่จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดในวงจร ปฏิจจสมุปบาท อันมี อวิชชา ความไม่รู้เป็นใหญ่ อวิชชา คือ ความไม่รู้ไม่เข้าใจในสภาวะเป็นจริงตามสภาวธรรม(ธรรมชาติ) ของทุกข์และการดับทุกข์ เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขารปรุงแต่งรูปนาม เป็นตัวตน เรา เขา คน สัตว์ โลก และ จักรวาล
สังขาร หลงคิดจึงเหมือนมีตน, วิสังขาร แท้ที่จริงเพียงจิตดวงเดียว
แท้จริงแล้วเราไม่เคยมีตัวตนจริงๆ มาแต่ไหนแต่ไร เป็นเพียงสภาวะปรุงแต่งคิดนึกของธาตุรู้ที่ยังมีอวิชชาห่อหุ้มครอบงำจิตอยู่แค่นั้นเอง
สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดใน สังสารวัฏ วัฏสงสาร นั้นเป็นเพียงจิตที่มีอวิชชา ไม่รู้แจ้งในอริยสัจ หากเราเดินตามมรรคผลนิพพาน
จนสามารถรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจได้แล้ว มีวิชชาเกิดขึ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว ภพชาติหมดแล้ว ดับขันธ์ ๕ ได้ถาวรแล้ว
สิ่งที่จะเข้าสู่นิพพานไม่ใช่เรา สิ่งสิ่งนั้นคือ ธาตุรู้ อมตธาตุ อมตธรรม จะเข้าสู่นิพพานตลอดกาล
"จิตท่องเที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ใครควบคุมจิตนี้ได้ ย่อมพ้นจากบ่วงมาร"
"สัมมา วิหาเรยุง อสุญโญโลโกอรหันเตหิ" ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสัมมาทั้ง ๘ ข้อ ( มรรค ๘ ) อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์"
นิพพานแล้วเป็นอย่าง?
"นิพพานัง ปรมัง สุขัง" นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขแค่ไหนนั้นก็ต้องปฏิบัติเองรู้เอง "สันทิฏฐิโก"
"นิพพานัง ปรมัง สุญญัง" นิพพานเป็นธรรมว่างจากความทุกข์ ว่างจากกิเลส โลภ โกรธ หลง ว่างจากขันธ์ ๕ ว่างจากดิน น้ำ ลม ไฟ ว่างอย่างยิ่ง
โลกและจักรวาล เป็นภพภูมิ ๑ ใน ๓๑ (ภพภูมิ ๓๑)
รองรับเหล่าสัตว์ทั้งหลายที่ยังมีอวิชชา ครอบงำห่อหุ้มจิต ยังไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ยังไม่สามารถทำวิชชาให้เกิดขึ้นในจิตได้ โลกและจักวาล ประกอบด้วยธาตุหลัก ๔ ธาตุ ( ดิน น้ำ ลม ไฟ ) ซึ่งทั้ง โลก จักรวาล และมนุษย์ มีองค์ประกอบหลักเป็นธาตุ ๔ เหมือนกัน
มนุษย์ แตกต่างตรงที่มีธาตุรู้อยู่ด้วยเพิ่มขึ้นมา ธาตุรู้มีหน้าที่รู้สภาวะต่างๆ
เมื่อธาตุรู้มีอวิชชาห่อหุ้มครอบงำ ทำให้เกิดมี ขันธ์ ๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และมีอายตนะภายนอก ๖ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ) อายตนะภายใน ๖ ( รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ) ตามวงจร ปฏิจจสมุปบาท
ในภพภูมิทั้ง ๓๑ นั้น ท่านแบ่งเป็น
สุคติ ๒๗ ภูมิ ได้แก่ มนุษยโลก ๑ สวรรค์ ๖ รูปพรหม ๑๖ และอรูปพรหม ๔ เป็นผลของการปรุงแต่งกุศลจิต
ทุคติ ๔ ภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน อย่างละ ๑ ภูมิ เป็นผลของการปรุงแต่งอกุศลจิต
ซึ่งหากยังไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ แล้ว ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นตลอดกาล