ปริยัติธรรม
หนังสือนิทานบำเพ็ญบุญ 100 เรื่อง
ชายหน้าตาอัปลักษณ์เข้าร่วมกับกลุ่มโจร ถูกทางการจับกุมได้ ยอมทรยศรับฆ่าเพื่อนโจร เพื่อตัวเองรอดตายทางการตั้งให้เป็นนายเพชฌฆาต
ครั้งพุทธกาล มีโจกลุ่มใหญ่ประมาณ ๕๐๐ คน ทำการปล้นฆ่าและขโมย เป็นต้นเลี้ยงชีวิต (และเลี้ยงครอบครัว) พวกโจรจะซ่องสุมกันในป้ายามที่นัดหมายเข้าปล้น ได้ทรัพย์แล้วก็แยกย้ายอยู่กับครอบครัว (ภายในแคว้นมคธ)
ต่อมา มีชายผู้มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด คือ มีดวงตาเหลือกสีเหลือง มีเคราสีแดงพลัดหลงเข้ามาในป่าขณะพวกโจรประชุมกัน เขาแสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมเป็นโจรด้วยโจรลูกน้องได้นำตัวเขาไปใกล้ ๆ หัวหน้าโจรแล้วบอกว่า "ท่านหัวหน้าครับ เจ้าคนนี้มันขอมาอยู่กับพวกเรา มันอยากจะเป็นโจร" หัวหน้าโจรมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วคิดว่า"เจ้าหมอนี่หน้าตากักขฬะ มันคงอำมหิตพอที่จะตัดนมของแม่ ดูดเลือดในลำคอของพ่อได้ มันไม่ควรอยู่กับพวกเรา" แล้วให้ลูกน้องไล่ออกไป
เขาถูกขับไล่แล้ว ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเข้ากลุ่มโจร วันหนึ่ง เขาไปพบเจอโจรคนสนิทของหัวหน้าโจร เขาก็กุลีกุจอปรนนิบัติจนโจรคนนั้นรู้สึกอยากให้เขาได้เป็นโจรดังหวังซะที จึงช่วยพูดให้หัวหน้าโจรยอมรับว่า "นายเจ้าเคราแดงหน้าตาน่าเกลียดคนนั้นมันดีนะนาย มันเก็บความลับได้ดี ทั้งมีน้ำใจช่วยเหลือผมอยู่เรื่อย ๆ นายโปรดรับมันมาเข้ากลุ่มเถิด ผมจะรับผิดชอบมันเอง"
หัวหน้าโจรเห็นแก่ลูกน้องคนสนิท จึงรับจ้างเคราแดงไว้ในกลุ่มโจร เจ้าเคราแดงก็เข้าร่วมปลัน ฆ่า แย่งชิงทรัพย์กับกลุ่มโจรเรื่อยมา
พระราชามคธ ทรงได้รับการร้องทุกข์จากประชาชนว่า "มีกลุ่มโจรเที่ยวปล้นฆ่า ไปตามเมืองในพระราชอาณาจักรของพระองค์" พระราชาจึงทรงส่งพวกมือปราบร่วมไปกับชาวเมือง สืบหาสถานที่ๆ พวกโจรซ่องสุมกัน พบแล้วได้ปิดล้อมจับกุมตัวโจรได้ทั้งหมด
มหาอำมาตย์วินิจฉัยคดีแล้ว พิพากษาให้ตัดหัวพวกโจรด้วยขวาน แต่ในเมืองนี้ไม่มีนายเพชฌฆาต พวกอำมาตย์ให้ชาวเมืองหาผู้ที่จะประหารชีวิตพวกโจร
ชาวเมืองประกาศหาอาสาสมัครฆ่าโจร แต่ไม่มีใครรับทำหน้าที่เลย ชาวเมืองจึงยื่นข้อเสนอให้หัวหน้าโจรฆ่าพวกลูกน้องทั้งหมดด้วยขวาน แลกกับการที่จะได้รับการละเวันชีวิต แต่หัวหน้าโจรไม่รับ แม้พวกโจรที่เป็นลูกน้องอีก ๔๙๙ คน ก็ไม่มีใครรับทำหน้าที่
พวกเขาจึงถามนายตัมพกาฐิกะ (ผู้มีเคราแดง) ผู้ตาเหลือกคนนั้น ปรากฎว่า เขารับข้อเสนอจะฆ่าพวกโจรพรรคพวกของเขาเอง แลกกับการที่ตนจะมีชีวิตอยู่...แล้วเขาก็ใช้ขวานตัดคอโจรทีละคนด้วยการบั่นคอเพียงครั้งเดียวคอก็ขาด เขารอดชีวิตและได้รับความนับถือจากชาวเมืองว่าเป็นผู้ทำให้พวกเขาปลอดภัยจากโจร
ต่อมามีคดีโจรเที่ยวปล้นฆ่าชิงทรัพย์อีก ชาวเมืองจับโจรได้จำนวนมาก พวกอำมาตย์วินิจฉัยให้ฆ่าตัดศีรษะอีก ชาวเมืองจึงนึกถึงนายตัมพกาฐิกะ และไปตามเขามาให้ทำหน้าที่ฆ่าโจรเหล่านั้น เขาฆ่าทั้งหมดแล้ว ชาวเมืองเสนอให้ฝ่ายราชการแต่งตั้งเขาเป็นนายเพชฌฆาตประจำเมือง ซึ่งราชการก็แต่งตั้งเขาตามที่ชาวเมืองเรียกร้อง
เป็นเพชฌฆาตฆ่าโจรอยู่นาน ๕๕ ปี ได้ถวายทานแด่พระสารีบุตร ในวันพ้นหน้าที่
นายตัมพกาฐิกะทำหน้าที่เพชฌฆาตฆ่าโจรประจำเมืองนี้อยู่นานถึง ๕๕ ปี ฆ่าโจรไปมากกว่า ๒,๐๐ คน...เวลาผ่านไป อายุเขามากขึ้น ๆ เขาไม่อาจบั่นคอโจรให้ขาดได้เพียงครั้งเดียวเหมือนที่เคยทำ ต้องฟันซ้ำ ๒-๓ ครั้ง ทำให้โจรทุกข์ทรมานมาก พวกญาติ ๆ ของโจรก็ประณามว่าทารุณโหดร้าย ทางราชการจึงปลดเขาออกจากหน้าที่
ตลอดเวลาที่เขาทำหน้าที่ "โจรฆาตกรรม" ๕๕ ปีนั้น เขาไม่เคยได้ดูแลตัวเองให้ดีใน ๔ เรื่องเลย คือ
- ไม่เคยได้นุ่งห่มผ้าใหม่
- ไม่เคยได้ดื่มยาคูเจือน้ำนม ปรุงด้วยเนยใสสดใหม่
- ไม่เคยได้สวมมาลัยดอกมะลิ
- ไม่เคยได้ลูบไล้ทาด้วยของหอม
วันที่เขาพ้นตำแหน่ง เขาจึงร้องขอของ ๔ อย่างนี้แก่ชาวเมืองว่า "ท่านทั้งหลายขอจงหุงยาคูเจือน้ำนมให้เรา..." จากนั้น เขาให้คนถือเครื่องนุ่งห่มใหม่ มาลัยดอกมะลิ และเครื่องลูบไล้หอม ติดตามไปยังท่าน้ำ ลงอาบน้ำ ขึ้นจากน้ำแล้วนุ่งห่มผ้าใหม่ ประดับด้วยดอกมะลิทาร่างกายด้วยของหอม เดินกลับมานั่งอยู่บนเรือนที่มียาคูเจือน้ำนม ปรุงด้วยเนยใสสดหอมกรุ่นตั้งอยู่
วันนั้น พระสารีบุตรเถระออกจากสมาบัติ (ท่านไม่ได้ระบุว่าเป็นผลสมาบัติ หรือนิโรธสมาบัติ) แล้วพิจารณาดูว่า เราจะไปบิณฑบาตที่ไหนหนอ? ก็พบเห็นนายตัมพกาฐิกะกำลังจะบริโภคยาคูเจือน้ำนมและเนยใสสด ท่านใคร่ครวญว่า ถ้าเราไปปรากฏตัว เขาจะ ถวายยาคูนั้นหรือไม่? ก็พบว่าเขามีศรัทธาจะถวาย ๆ แล้วเขาจะได้สมบัติ (สวรรค์สมบัติ)พระเถระจึงห่มจีวร ถือบาตรมาปรากฏตัวหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือนของเขา
ขณะนั้น นายตัมพกาฐิกะกำลังล้างมือเพื่อจะเริ่มดื่มยาคู เขาเหลือบเห็นพระผู้เป็นเจ้าแล้วก็เกิดจิตเลื่อมใส คิดว่า "ชีวิตเราผูกติดกับการฆ่าพวกโจรมานานมาก เราฆ่าคนจำนวนเป็นพัน วันนี้ตั้งใจจะนั่งดื่มยาคูที่เราไม่ได้ดื่มมานาน กลับมีพระผู้เป็นเจ้ามายื่นถือบาตรอยู่หน้าเรือน เราควรจะถวายยาคูแก่ท่าน ถือเป็นโอกาสดีที่เราพ้นจากความหม่นหมองในวันนี้ด้วย"
เขาลุกเดินออกไปหน้าประตูเรือน ไหว้แล้วกล่าวนิมนต์ให้พระสารีบุตรเข้าไปนั่งใน เรือน....เมื่อท่านนั่งแล้ว เขานำยาคูเจือน้ำนมใส่ลงในบาตร ราดเนยใสใหม่ลงเบื้องบนข้าวยาคู(ยาคูมีมากมิได้ถวายทั้งหมด) นิมนต์ให้ท่านฉัน ระหว่างที่ท่านฉัน เขาก็ยืนพัดให้ท่าน
เขาพัดไปมองพระเถระฉันไป ใจเขาก็นึกอยากกินยาคูบ้าง เพราะไม่เคยได้บริโภค มานาน พระสารีบุตรกำหนดรู้ใจเขาแล้ว กล่าวว่า "อุบาสก ท่านหยุดพัดเถอะ ไปนั่งดื่ม ยาคูเถิด" เขาจึงส่งพัดให้คนอื่น พัดให้พระเถระ ตัวเองก็ไปนั่งดื่มยาคู พระเถระกล่าวกับผู้กำลังพัดอยู่ว่า "จงไปพัดให้อุบาสกเถิด" บุรุษคนนั้นจึงไปพัดให้แก่นายตัมพกาฐิกะ
ฟังธรรมแล้ว เจริญวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์... ถูกแม่โคขวิด ตายแล้วเกิดในสวรรค์ดุสิต
เขานั่งดื่มยาคูจนอิ่มแล้ว ลุกขึ้นมาพัดให้พระสารีบุตรอีก จากนั้น นำบาตรไปล้างแล้วส่งให้ท่าน พระสารีบุตรเริ่มกล่าว อนุโมทนาทาน แต่เขามีจิตฟุ้งซ่านกระสับกระส่ายฟังธรรมได้ไม่ปะติดปะต่อ พระเถระสังเกตเห็นแล้วถามเขาว่า "อุบาสก เหตุใด ท่านจึงไม่อาจฟังธรรมโดยสงบได้?" นายตัมพกาฐิกะตอบว่า "ท่านผู้เจริญ กระผมทำกรรมอันหยาบช้ามานานมาก มีคนตายเป็นจำนวนมาก กระผมมัวคิดถึงความไม่ดีของผมอยู่ จึงไม่อาจมีใจไปตามคำสอนได้"
พระสารีบุตรคิดว่า "เขามัวคิดถึงแต่การฆ่าคน เราต้องหาอุบายให้เขาเลิกคิด เขา จะได้เข้าใจธรรม" จึงถามขาว่า "อุบาสก กรรมหยาบช้านั้น ท่านทำตามใจชอบ หรือว่าท่านถูกคนอื่นใช้ให้ท่านทำเล่า?" เขาตอบว่า "ท่านผู้เจริญ พระราชามีพระราชโองการให้กระผมทำขอรับ" ถามว่า "เมื่อเป็นอย่างนั้น อกุศลจะมีแก่อุบาสกได้อย่างไรเล่า?"
นายตัมพกาฐิกะเป็นคนที่ค่อนข้างเขลา (มีปัญญาเบาบาง) ฟังแล้วเกิดความเข้าใจว่า "อกุศลไม่มีแก่เรา เราไม่ได้ทำบาป" จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ กระผมสบายใจขึ้นแล้วขอท่านจงกล่าวธรรมเถิด ขอรับ"
พระเถระกล่าวธรรมต่อ จิตใจเขาไม่ฟุ้งซ่าน จิตเป็นสมาธิดี ฟังธรรมไปปฏิบัติตามไปก็ได้อนุโลมิกขันติ (วิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ในสังขาร แต่ยังไม่บรรลุถึงอริยมรรคอริยผล)จบเทศนาแล้ว พระสารีบุตรก็ลุกเดินออกจากเรือนไป นายตัมพกาฐิกะเดินตามออกมาส่งพระเถระยังหน้าประตูเรือน ขณะที่เขากำลังจะเดินกลับเข้าบ้าน ก็มีนางยักษิณีตนหนึ่งแปลงร่างมาในเพศแม่โคนม วิ่งเข้ามาขวิดจนตาย เขาตายแล้วเกิดในสวรรค์ดุสิต
วันต่อมา ภิกษุทั้งหลายสนทนากันอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร เขตกรุงราชคฤห์ ว่า"นายเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจรมานาน ๕๕ ปี วันที่พันจากตำแหน่งก็ได้ถวายอาหารแก่พระสารีบุตรเถระ และเขาก็ตายในวันเดียวกันเลย เขาตายแล้วเกิดที่ไหนหนอ?" พระพุทธเจ้าเสด็จมาพอดี ทรงทราบเรื่องที่กำลังสนทนากันแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เขาเกิดในดุสิตบุรี"
พวกภิกษุทูลถามย้ำอีกครั้งว่า "อะไรกันพระพุทธเจ้าข้า เขาฆ่าคนมานานมาก แต่พระองค์กลับตรัสว่า เขาตายแล้วเกิดอยู่ในเทพวิมานชั้นดุสิต?"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อย่างนั้นจริงภิกษุทั้งหลาย อดีตนายเพชฌฆาตได้กัลยาณมิตรใหญ่ เขาฟังพระธรรมเทศนาจากพระสารีบุตร ทำอนุโลมญาณให้เกิดขึ้นได้ จุติ (ตาย)จากโลกนี้แล้วอุบัติในวิมานดุสิต" ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "ส่วนมากคำกล่าวอนุโมทนามักจะไม่มีเนื้อความลึกซึ้งนัก ทั้งเขาก็ทำอกุศลกรรมไว้มาก แต่เหตุไร เขาจึงยังคุณวิเศษนั้นให้เกิดขึ้นได้?" ตรัสตอบว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย อย่าได้ดูที่จำนวนธรรมที่กล่าวว่ามากหรือน้อย เพราะแม้จะกล่าวเพียงคำเดียว แต่เป็นวาจามีประโยชน์ ก็ย่อมประเสริฐแท้" แล้วตรัสพระคาถาว่า
"กล่าววาจาตั้งพัน...แต่ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ไซร้ บทที่เป็นประโยชน์เพียงบทเดียว ซึ่งทำให้ผู้ฟังสงบระงับได้ประเสริฐกว่า" (ดู ขุ.ธ.ข้อ ๑๘, .ธ.อ.๒/๓๔๖-๓๕๑)