ปริยัติธรรม
หนังสือนิทานบำเพ็ญบุญ 100 เรื่อง
เศรษฐีจอมตระหนี่ ทำและสอนให้คนใกล้ชิดเหนียวแน่น ตายแล้วเกิดในครรภ์มารดาวรรณะจัณฑาล
อานันทเศรษฐีเป็นเศรษฐีชาวกรุงสาวัตถี มีทรัพย์มากถึง ๘๐ โกฏิ (อสีติโกฏิวิภโว) เขามีบุตรชายเพียงคนเดียว คือ "มูลสิริ" เศรษฐีเป็นคนตระหนี่เหนียวแน่นมาก เขาจะสอนลูก สอนญาติ และเหล่าคนงานให้สั่งสมทรัพย์ ใช้ให้น้อยที่สุด โอวาทที่เศรษฐีให้แก่ทุกคนที่เข้าประชุมในเรือนทุก ๆ ๑๕ วัน คือ
"คนที่จะครองเรือนให้ร่ำรวยได้นั้น พึงสังเกตความหมดไปของยาหยอดตา พึงเห็นจอมปลวกที่ใหญ่โตขึ้นทุกวัน และพึงเห็นแบบอย่างการสร้างรังของพวกผึ้ง"
ในส่วนของการสอนมูลสิริผู้เป็นบุตรนั้น เศรษฐีจะเน้นมาก คือ "เจ้าอย่าได้คิดว่าทรัพย์ ๘๐โกฏินี้ มันมากมายนะ หากเจ้าใช้จ่ายไปทุกๆ วันไม่กี่วันก็จะหมด เจ้าไม่ควรทำตัวเป็นคนใจกว้าง ไม่ควรออกหน้าช่วยเหลือใคร .... ควรรักษาทรัพย์ที่มีอยู่ไว้ให้นานที่สุด และควรหาทรัพย์ใหม่เข้ามาเพิ่มอย่าให้ขาด..."
แม้จะสอนบุตรชายให้ใช้จ่ายน้อยและตระหนี่ตามตนเองอยู่เนือง ๆ แต่เศรษฐีก็ยังไม่ไว้ใจบุตรชาย เกรงว่าเขาจะผลาญทรัพย์สมบัติ เศรษฐีจึงแอบนำทรัพย์บางส่วนออกจากเรือนไปฝังไว้ในผืนดิน ๕ แห่ง ที่เห็นว่าปลอดภัยที่สุด โดยไม่คิดจะบอกให้ใคร ๆ รู้เลยแม้ในวาระใกล้ตาย อานันทเศรษฐีนอนอยู่บนเตียง มีบุตรชาย หมู่ญาติ และคนรับใช้ใกล้ชิดแวดล้อม ความหวงแหนทรัพย์ ความตระหนี่ ยังเกาะกุมจิตใจเต็มที่ เขาก็ยังไม่ยอมบอกที่ซ่อนทรัพย์ ๕ แห่งนั้นแก่บุตรชาย
เศรษฐีสิ้นใจตายแล้วเกิดในครรภ์หญิงวรรณะจัณฑาล ในหมู่บ้านจัณฑาล ใกล้ประตูพระนครสาวัตถี
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบว่าอานันทเศรษฐีถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ทรงพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้แก่บุตรชายเป็น "มูลสิริเศรษฐี"
ชาวจัณฑาลเดือดร้อน...ขับไล่หญิงตั้งครรภ์ออกจากหมู่บ้าน...อดีตอานันทเศรษฐีเกิดเป็นเด็กหน้าตาสุดอัปลักษณ์
นับแต่อดีตอานันทเศรษฐีเกิดอยู่ในครรภ์มารดา คนในหมู่บ้านจัณฑาลก็เดือดร้อนมาก จากที่เคยมีคนว่าจ้างทำการงานก็ไม่มีใครจ้าง ก้อนข้าวที่เคยมีคนบริจาคให้พวกจัณฑาลบ้าง ก็ไม่มีอีก คนในหมู่บ้านทั้งหมดย่อมเดือดร้อน ยังอัตภาพให้เป็นไปจากข้าวในครัวที่พอมีอยู่บ้างเท่านั้น
พวกเขาคุยกันว่า "แต่ก่อนมีคนว่าจ้างพวกเราทำการงานไม่ขาด ตอนนี้พวกเรากำลังจะไม่มีข้าวหุงกิน ในหมู่พวกเรานี้ น่าจะมีคนกาฬกิณีมาอยู่ด้วยแน่ๆ"
พวกเขาตกลงค้นหาคนกาฬกิณีโดยการแบ่งออกเป็น ๒ พวก ปรากฏว่าครอบครัวของอดีตอานันทเศรษฐีไปอยู่ฝ่ายใด ฝ่ายนั้นก็ยังไม่ได้รับการว่าจ้างงาน ส่วนอีกฝ่ายก็มีงานให้ทำและมีชีวิตความเป็นอยู่กลับเป็นปกติ จากนั้นก็แบ่งฝ่ายนี้ออกเป็น ๒ ฝ่ายอีก (แบ่งเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ) จนพวกเขาพบว่าหญิงในครอบครัวหนึ่งกำลังตั้งครรภ์ และเด็กในครรภ์น่าจะเป็นกาฬกิณี (=อานันทเศรษฐีมาเกิด) จึงขับไล่นางออกจากหมู่บ้าน
นางต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ให้สามีส่งข้าวให้กินบ้าง เที่ยวขอเขาบ้าง พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้เท่านั้น... หลายเดือนต่อมา นางก็คลอดบุตร...ทารกที่คลอดออกมามีหน้าตาสุดอัปลักษณ์ คือมีมือ เท้า นัยน์ตา หู จมูก และปากไม่อยู่ในที่ควรอยู่ตามมนุษย์ปกติเป็นเด็กมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดเป็นดุจปีศาจ แต่มารดาก็ยังรักทะนุถนอมแม้ชีวิตจะผิดเคือง มากก็ตาม
นางพาลูกออกขออาหารบ้าง ขอทำงานแลกค่าจ้างบ้าง แต่ไม่มีใครจ้างเลย เมื่อเอาลูกนอนอยู่ที่บ้านแล้วออกไปหางาน จึงมีคนมาว่าจ้าง ได้ค่าจ้างพอเลี้ยงดูตัวเองและลูกน้อย
เด็กเจริญวัยพอพูดได้ เที่ยวขอข้าวกินได้ มารดาจึงสอนให้ลูกถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน กล่าวสอนครั้งสุดท้ายว่า "แม่ลำบากเพราะเจ้ามานานมาก ตอนนี้แม่ไม่อาจเลี้ยงดูเจ้าต่อไปได้แล้ว ในนครนี้มีโรงทานอยู่หลายแห่งที่เขาแจกจ่ายของกินให้แก่คนยากไร้และคนเดินทาง...เจ้าจงเข้าไปขออาหารตามที่เหล่านั้นเถิด เจ้าไม่อดตายหรอก" ทิ้งลูกแล้วก็กลับไปอยู่ในหมู่บ้านจัณฑาลดังเดิม
เด็กระลึกชาติได้...พระพุทธเจ้าทรงให้เด็กบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์มูลสิริไปขุดพบทรัพย์ จึงยอมรับว่าเด็กเป็นอดีตบิดาจริง
แต่นั้นเด็กน้อยก็เที่ยวไปตามโรงทาน กินอาหารแล้วนอนตามที่ต่าง ๆ แต่ก็เป็นที่รังเกียจของคนที่พบเห็น เพราะความที่มีหน้าตาอัปลักษณ์จึงถูกขับไล่เนือง ๆ เขาเดินไปเรื่อย ๆ แล้วไปหยุดที่หน้าบ้านของมูลสิริเศรษฐี เกิดความระลึกชาติได้ว่า "นี่เรือนของเราเราเป็นเจ้าของเรือนหลังนี้นี่น่า" เดินผ่านประตูเข้าไปโดยคนในเรือนไม่ทันได้สังเกตเห็นเข้าไปในตัวบ้านแล้ว พวกลูก ๆ ของมูลสิริเศรษฐีพบเห็นก็ส่งเสียงร้องหวาดกลัวดังลั่น
คนงานในเรือนรีบมาขับไล่ว่า "เจ้าคนกาฬกิณีจงออกไป..." โบยตีเขาหลายครั้งจนเขาล้มลง ก็ช่วยกันจับออกไปโยนไว้ที่กองขยะ แล้วเล่าเรื่องให้เศรษฐีทราบ
ขณะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตผ่านมา มีพระอานนท์ติดตาม (ปัจฉาสมณะ)ทอดพระเนตรเห็นแล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์จึงทูลถามเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์?พระศาสดาตรัสเล่าอดีตชาติของเด็กคนนี้ให้ท่านฟัง แล้วให้เด็กน้อยติดตามเสด็จมาถึงที่พระวิหารเชตวัน ทรงเสวยแล้วตรัสให้พระอานนท์ไปเชิญมูลสิริเศรษฐีมา เศรษฐีมาเข้าเฝ้าท่ามกลางหมู่พุทธบริษัท พระศาสดาตรัสถามว่า "ท่านเศรษฐี ท่านรู้จักเด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์คนนี้ไหม?" เศรษฐีมองเด็กแล้วทูลตอบว่า "ไม่รู้จักเลย" ตรัสว่า "เด็กชายคนนี้ก็คืออานันทเศรษฐีผู้เป็นบิดาของท่าน"
เมื่อมูลสิริเศรษฐีไม่เชื่อ พระศาสดาก็ตรัสว่า "บิดาของท่านฝังซ่อนทรัพย์ไว้ ๕ แห่งเราจะให้เขาบอกให้ท่านไปขุดพิสูจน์ดูนะ" แล้วตรัสขอให้เด็กชายบอกที่ซ่อนสมบัติ ๕ แห่งนั้น เด็กชายบอกที่ซ่อนให้แล้วเศรษฐีนำคนไปขุดก็พบทรัพย์ทั้ง ๕ แห่ง
เศรษฐีกลับมาเข้าเฝ้ากราบทูลให้ทรงกราบว่า "เรื่องทั้งหมดที่เด็กพูด เป็นความจริง ข้าพระองค์เชื่อแล้วว่า เด็กนั่นเป็นอดีตบิดา" พระพุทธเจ้าทรงให้เขาทำอุปการะแก่เด็กตามที่ควรจะต้องทำ เช่น เลี้ยงดู, เมื่อมูลสิริเศรษฐีได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะแล้วพระพุทธเจ้าจึงตรัสพระคาถาในท่ามกลางมหาชนว่า...
"คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า เรามีบุตรอยู่ เรามีทรัพย์อยู่ (จึงทุกข์ใจเพราะบุตรและทรัพย์), ที่จริงตัวของตนก็ยังไม่มี (คือไม่มีเครื่องต้านทานทุกข์) บุตรจะมีแต่ที่ไหน ทรัพย์จะมีแต่ที่ไหน"
(คือเอาเข้าจริงแล้ว บุตรและทรัพย์ นำทุกข์ออกไปจากเราก็ไม่ได้ ให้สุขที่เที่ยงแท้ก็ไม่ได้ ตัวเราเองต้องเผชิญอยู่ผู้เดียวนั่นแหละ) (ดู ขุ.ธ.ข้อ ๑๕,ธ.อ.๒/๑๕๑-๔)