เทพนครของเทวดาดาวดึงส์ ผลแห่งบุญ : และอานิสงส์บุญที่พวกอดีตมาณพได้รับ

เทพนครของเทวดาดาวดึงส์ ผลแห่งบุญ : และอานิสงส์บุญที่พวกอดีตมาณพได้รับ

ปริยัติธรรม

หนังสือนิทานบำเพ็ญบุญ 100 เรื่อง

ในสวรรค์ดาวดึงส์นั้น มีส่วนที่เป็นนครอยู่หมื่นโยชน์ มีประตูแห่งเทพนครอยู่ ๔ ด้าน ภายนอกนครจะมีพื้นที่ดังนี้

ระหว่างประตูทิศตะวันออกและตะวันตก มีเนื้อที่ขนาดหมื่นโยชน์, ระหว่างประตู ทิศใต้และทิศเหนือก็มีขนาดหมื่นโยชน์, ภายในนครยังมีประตูอีกหนึ่งพัน, มีอุทยาน และสระโบกขรณี มีปราสาทของท้าวสักกะ เรียกว่า เวชยันตปราสาท สูง ๗๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่ท่ามกลางเทพนคร ปราสาทประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ ยอดปราสาทมีหมู่ธงสูง ๓๐๐ โยชน์ (คันธงเป็นทอง, แก้วมณี แก้วประพาฬ, แก้วมุกดา ตัวธงก็เป็นแก้วมณีและแก้วมุกดา เป็นตัน รวมกับความสูงของยอดปราสาทก็เป็น ๑,๐๐๐ โยชน์) ทั้งนี้เป็นผลแห่งการสร้างศาลา

- ใกล้ๆ เทวสภาสุธัมมามีต้นปาริฉัตตกะผุดโตขึ้นด้วยผลแห่งการปลูกต้นทองหลางของมฆมาณพ, กิ่ง ก้าน ใบ และดอกของต้นปาริฉัตตกะก็แผ่กว้างออกไปไกล ๓๐๐ โยชน์ โดยรอบ

- ใต้ต้นปาริฉัตต์ก็มีแท่นหินที่เรียกว่า"บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์" แก่นหินมีสีดุจผ้ากัมพลสีแดง เป็นที่ประทับนั่งของท้าวสักกะ (แปลต่างๆ กันบ้างเช่น ดุจผ้ากัมพลสีเหลือง หรือสีดังดอกชัยพฤกษ์ สีครั่ง หรือสีบัวโรยบ้าง) มีขนาดยาว ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ หนา ๑๕ โยชน์ เมื่อท้าวสักกะประทับนั่งพระแท่นนี้จะยุบลงถึงครึ่งพระวรกาย เมื่อเสด็จลุกขึ้นก็จะกลับฟูขึ้นตามเดิม

- ในเทวโลก (โลกของเทวดา) ไม่มีสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย เมื่อท้าวสักกะจะเสด็จประพาสพระอุทยานต่าง ๆ จะมีเทพบุตร (อดีตช้างชื่อเอราวัณ) แปลงตัวเป็นช้างชื่อเอราวัณ สูงประมาณ ๑๐ โยชน์ เอราวัณเทพบุตรจะเนรมิตตนให้มีกระพอง (สำหรับนั่งบนคอช้าง) ๓๓ กระพอง เพื่อให้เทพบุตรทั้ง ๓๓ คน (รวมทั้งท้าวสักกะ) นั่ง กระพองหนึ่ง ๆ มีลักษณะกลมกว้าง ๓ คาวุต ยาวกึ่งโยชน์ ส่วนที่ประทับนั่งของท้าวสักกะจะอยู่ตรงกลาง เรียกกระพองนี้ว่า สุทัสสนะ มี ขนาด ๓๐ โยชน์ เบื้องบนกระพองจะมีมณฑปรัตนะขนาด ๑๒ โยชน์ มีธงรัตนะ ๗ ประการ สูง ๑ โยชน์ ประทับอยู่ในณฑปรัตนะเหล่านั้นมีกระดิ่งห้อยไว้โดยรอบมณฑป ยามลมพัดกระดิ่งจะส่งเสียงกังวานปานเสียงสังคีตทิพย์สอดประสานเสียงกับดนตรีทิพย์บรรเลง, ใต้มณฑปรัตนะของท้าวสักกะ จะมีบัลลังก์แก้วมณีขนาด ๑ โยชน์ ให้ท้าวสักกะประทับนั่ง

เทพบุตรทั้งหมดนั่งบนกระพองของตนๆ แล้ว เอราวัณเทพบุตรก็เนรมิตงากระพองละ ๗ งา แต่ละงายาวประมาณ ๕๐ โยชน์ ในงาหนึ่งๆ มีสระโบกขรณีอยู่ ๗ สระ แต่ละสระมีกอบัว ๗ กอ แต่ละกอมีอก ๗ ดอก, แต่ละดอกมี ๗ กลีบ แต่ละกลีบมีเทพธิดารำฟ้อนอยู่ ๗ องค์ รวมความว่าแต่ละงามีมหรสพสนุกสนานอยู่อย่างนี้ ๆ และในทุกวันอัฎฐมี (ดิถีที่ ๘) แห่งเดือน ท้าวสักกะทรงจัดให้มีการแสดงธรรม ฟังธรรม


พิมพ์