ปริยัติธรรม
หนังสือ สังสารวัฏ โดย สุรีย์ มีผลกิจ
พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัตตทัณฑสุตตนิทเทส ที่ ๑๕ หน้า ๔๑๓-๔๓๔ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร กล่าวว่า ที่สุดข้างต้นของสังสารวัฏไม่ปรากฏ แม้ที่สุดข้างปลาย ก็ไม่ปรากฏ ก็ในท่ามกลางสังสารวัฏนั้นแล สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่แล้ว ดํารงอยู่แล้ว ข้องอยู่แล้ว เข้าถึงแล้ว สยบ อยู่แล้ว น้อมใจไปแล้ว ท่องเที่ยวไปแล้วในโลก ในวัฏฏะที่ค้นหาที่สุดเบื้องต้น ที่สุดเบื้องปลายไม่พบ จึงชื่อว่ากําหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายมิได้ ควรหรือไม่ ที่สัตว์ทั้งหลายจะหาทางออกจากวัฏฏะ พ้นจากวัฏฏะ เพื่อความสิ้นไปแห่งสังสารวัฏ
ประมวลความ ภัยในท่ามกลางสังสารวัฏ ในลําดับต่อจากนี้ ผู้เรียบเรียบได้รวบรวมเนื้อหาสาระจาก ขุททกนิกาย ธรรมบท อุทาน วิมานวัตถุ เปตวัตถุ ยกเป็นบุคคลาธิษฐานคือตัวอย่างบุคคล เพื่อชี้ให้เห็นถึง อปุญญาภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร คือกุศลหรืออกุศลที่สัตว์โลกได้กระทําแล้ว ย่อมนําพาสัตว์ให้ท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่าง ๆ ชี้ให้เห็นคุณในการกระทํากุศล เห็นโทษในการกระทําอกุศล อันจักเป็นแนวทางของสัตว์โลก ที่กําลังหลงเดินอยู่ท่ามกลางสังสารวัฏ ได้ปฏิวัติปฏิรูปการดําเนินชีวิตใหม่ ตั้งความปรารถนาใหม่ ตั้งโยนิโสมนสิการใหม่ ในอันที่จักได้หมุนกลับ เวียนกลับจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ เปลี่ยนทิศทางที่จะมุ่งเดินไปตามครรลองแห่งพระธรรม ของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ว่ากาลเวลาแห่งชีวิตในอัตภาพนี้จักเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยอักขระ ๑ อักษร อันเปรียบเสมือนพระธรรมเจดีย์ ๑ องค์ ที่บรรจุส่วนแห่ง พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ของพระพุทธองค์ไว้แล้ว เหนือเศียรเกล้า
ภัยในโลกนี้ - ภัยในนรก
ขุททกนิกาย ธรรมบท ธัมมปทัฏฐานกถา เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ หน้า ๒๘๑-๒๘๙ เรื่องลูกสุกร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้ภัยในท่ามกลางสังสารวัฏ ตรัสพระธรรมเทศนาให้พุทธบริษัททราบถึง สังสารวัฏอันหาระหว่างมิได้ คือติดต่อกันจากภพนี้ สู่ภพอื่น ๆ ดังมีเรื่องของนางลูกสุกรเป็นอุทาหรณ์ ความว่า
วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ ทอดพระเนตรเห็นลูกสุกรตัวหนึ่ง ได้ทรงแย้มพระ โอษฐ์ พระอานนทน์ทูลถามเหตุแห่งการแย้มพระโอษฐ์นั้น พระศาสดาจึงตรัสถามพระอานนท์ว่า เธอเห็นนางลูกสุกร นั่นไหม ? พระอานนท์กราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า
พระบรมศาสดาจึงตรัสเล่าถึงบุรพกรรมของลูกสุกรนั้นว่า ในอดีตนางลูกสุกรนี้เกิดเป็นแม่ไก่ อยู่ในที่ ใกล้โรงฉันแห่งหนึ่ง ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ นางไก่นั้น ฟังเสียงประกาศธรรมของ ภิกษุรูปหนึ่ง สาธยายวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ นางจุติจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในราชตระกูล เป็นพระราชธิดาพระนามว่า อุพพรี ในกาลต่อมา พระนางเสด็จเข้าไปยังสถานที่ถ่ายอุจจาระ ทอดพระเนตรเห็นหมู่หนอน ยังให้ปุฬวกสัญญา (ซากศพที่มีหนอนคลาคล่ำเต็มไปหมด) ให้เกิดขึ้นในที่นั้น ได้ปฐมฌานแล้ว พระนางดํารงอยู่ในอัตภาพนั้นจนสิ้นอายุ จุติจากอัตภาพนั้น บังเกิดในพรหมโลก พระนางจุติจากพรหมโลก สับสนอยู่ด้วยอํานาจคติ จึงมาเกิดเป็นลูกสุกร ในบัดนี้ เราเห็นเหตุนี้ จึงได้ทําการแย้มให้ปรากฏ
พระบรมศาสดา ทรงยังความสังเวชให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว ทรงประกาศโทษแห่งราคะตัณหา ประทับยืนอยู่ระหว่างถนนนั้นเอง ได้ทรงภาษิตว่า
ตัณหานุสัยอันบุคคลยังกําจัดมิได้ ย่อมเกิดขึ้นร่ำไป
กระแสแห่งตัณหาย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง
โสมนัสทั้งหลายที่ซ่านไป เปื้อนตัณหาดุจยางเหนียว
ย่อมมีแก่สัตว์ที่อาศัยความสําราญ แสวงหาความสุข
ชนเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้เข้าถึงชาติ ชรา มรณะ ไม่มีที่สิ้นสุด
หมู่สัตว์อันตัณหาผูกล้อมไว้แล้ว ย่อมกระเสือกกระสน
เหมือนฝูงกระต่าย อันนายพรานดักได้แล้ว ฉะนั้น
หมู่สัตว์ผู้ข้องอยู่ในสังโยชน์ และกิเลสเครื่องข้อง
ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อย ๆ เหมือนเถาวัลย์แตกขึ้นแล้วย่อมตั้งอยู่
เธอจงตัดรากแห่งตัณหานั้นเสีย ด้วยมรรคปัญญาเถิด
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น นางลูกสุกรนั้น
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในราชตระกูลในสุวรรณภูมิ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในกรุงพาราณสี
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนพ่อค้าม้าที่ท่าสุปปารกะ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนของนายเรือที่ท่าคาวิระ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนของอิสรชน ในเมืองอนุราธปุรี
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดเป็นธิดาในเรือนของกุฎุมพีชื่อสุมนะ ในเภกกันตคาม ในทิศ
ทักษิณของเมืองนั้น ชื่อ สุมนา ต่อมาบิดาของนางได้ไปสู่แคว้นทีฆวาปี อยู่ในหมู่บ้านชื่อมหามุนีคาม อํามาตย์ของพระเจ้าทุฏฐคามินี นามว่าลกุณฏกอติมพระ ไปที่บ้านของนางด้วยกรณียกิจบางอย่าง เห็นนางแล้ว ทํามหามงคลอย่างใหญ่ พานางไปสู่บ้านมหาปุณณคามแล้ว
ครั้งนั้น พระมหาอุตลเถระผู้อยู่ในมหาวิหารชื่อโกฏิบรรพต เที่ยวไปในบ้านนั้นเพื่อบิณฑบาต ยืนอยู่ที่ ประตูเรือนของนาง เห็นนางแล้วกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า นางลูกสุกรนี้ถึงความเป็นภรรยาของมหาอํามาตย์ชื่อ ลกุณฏกอติมพระแล้ว โอ น่าอัศจรรย์จริง
พอนางได้ฟังคําที่พระมหาอตุลเถระกล่าวดังนั้นแล้ว กลับได้ญาณอันเป็นเหตุให้ระลึกชาติได้ นางเกิด ความสังเวช อ้อนวอนสามีขอบวชในสํานักของพระเถรีด้วยอิสริยยศอย่างใหญ่ ได้ฟังกถาพรรณามหาสติปัฏฐานสูตร ในติสสมหาวิหารแล้ว ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ภายหลังเมื่อพระเจ้าทุฏฐคามินีทรงปราบทมิฬได้แล้ว พระสุมนาเถรี กลับไปสู่บ้านเภกกันตคามซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาบิดา ได้ฟังอาสีวิสูปมสูตรในกัลลกมหาวิหาร ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ในวันที่จะปรินิพพาน นางถูกพวกภิกษุณีซักถาม นางได้เล่าประวัติทั้งหมดอย่างละเอียดแก่ภิกษุณี สงฆ์ทั้งหลาย แล้วสนทนากับพระมหาติสสเถระผู้กล่าวบทแห่งธรรม ผู้มีปกติอยู่ในมณฑลาราม ณ ท่ามกลาง ภิกษุสงฆ์ผู้ประชุมกันแล้ว กล่าวว่า
ในกาลก่อน ข้าพเจ้าจุติจากกําเนิดมนุษย์แล้ว เป็นแม่ไก่ ถูกตัดศีรษะจากสํานักเหยี่ยว ปฏิสนธิใน กรุงราชคฤห์แล้วบวชในสํานักปริพาชิกาทั้งหลาย แล้วเกิดในภูมิปฐมฌาน จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในตระกูล เศรษฐี ต่อกาลไม่นานนัก จุติจากมนุษย์แล้วไปสู่กําเนิดเดียรัจฉานเป็นลูกสุกร จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปสู่สุวรรณภูมิ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่เมืองพาราณสี จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่ท่าสุปปารกะ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่ ท่าคาวิระ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่เมืองอนุราธปุรี จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่บ้านเภกทันตคาม ข้าพเจ้าได้ อัตภาพอันสูง ๆ ต่ำ ๆ วนเวียนไปมาอยู่ในสังสารวัฏ ยาวนานอย่างนี้
บัดนี้ มีโอกาสได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้อัตภาพอันอุกฤษฎ์แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลาย จงยังธรรมที่เป็น กุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด นางสุมนาได้ยังบริษัท ๔ ให้สังเวช แล้วปรินิพพาน ดังนี้แล