สันทิฏฐิโกจากผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ไม่รู้แจ้ง ความอยาก ความยึด "จึงเป็นทุกข์"
อวิชชาปิดบังใจให้มืดมิด จึงหลงผิดคิดเป็นถูกมาแต่ไหนทำสิ่งผิดธรรมชาติอยู่ร่ำไป หลงเพลินในวัฏฏทุกข์ตลอดกาล
ตัณหาร้อนแรงดั่งไฟสุมใจหมอง พาให้ต้องร้อนรนทุกข์ทนหนา
ยิ่งดิ้นรนตะเกียกตะกายช้ำอุรา วิ่งเข้าหาสู่กองไฟดั่งแมลง
อุปาทานที่ยึดมั่นฝังเอาไว้ เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจความเป็นจริง
หลงว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นทุกสิ่ง ยึดไว้แม้ชีวีวายยังยอมเลย
เพราะความโง่ไม่รู้เท่าทันภาวะ ที่ปรุงแต่งมีเกิดดับเป็นธรรมดา
หลงไปเป็นสิ่งเหล่านั้นจึงทุกข์หนา จมอยู่ในโลกมายานานแสนนาน
โลกนี้เป็นเหมือนเพียงโรงละคร บทคอยหลอนสอนสั่งทำผิดหนา
บทกรรมเก่าที่เคยทำพาช้ำอุรา หลอกหลอนจนตายเกิดมาตลอดกาล
หากไม่รู้จักความทุกข์ในวัฏฏะ หลงโมหะมัวเมาในขันธ์ธาตุ
ยิ่งจมปลักดิ่งลึกลงจนมิอาจ จะพ้นทุกข์พ้นชาติพ้นภพไป
หากไม่รู้สมุทัยอันเป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่ทำให้ก่อเกิดทุกข์
อยากในสิ่งที่คิดไปว่าเป็นสุข อยากสนุกอยากมัวเมาอยากยึดครอง
หากไม่รู้ว่านิโรธสุขแค่ไหน ดับกิเลสทั้งหมดได้สุขหนักหนา
เพราะไม่รู้จึงไม่เห็นสำคัญกว่า ไม่สนใจไม่อยากรู้ดูห่างเกิน
มรรคทั้งแปดเป็นหนทางการดับทุกข์ ย่อแล้วเพียงศีลสมาธิแลปัญญา
ค่อยเพียรปฏิบัติขัดเกลาจนแก่กล้า ปัญญาจักษุแสงส่องรู้พ้นเกิดเอย