นายจุนทสูกริก : คนฆ่าหมูผู้เลือดเย็น

นายจุนทสูกริก : คนฆ่าหมูผู้เลือดเย็น

ปริยัติธรรม

หนังสือพระพุทธวจนะ คาถาธรรมบท จาก...พระไตรปิฎก

ผู้กระทำบาปเป็นปกติ ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วก็ย่อมเศร้าโศก เรียกว่า จะอยู่หรือตายก็ย่อมเศร้าโศก เขาเศร้าโศก เขาเดือดร้อน เพราะเห็นกรรมที่เศร้าหมองของตน

 

นายจุนทะฆ่าหมูด้วยวิธีพิเศษ ก่อนตายทรมานแบบหมูอยู่ ๗ วัน ตายแล้วเกิดในอเวจีนรก

 

นายจุนทะเป็นชาวราชคฤห์ เขามีอาชีพเลี้ยงหมูและฆ่าหมู (สูกริก) ขาย, คนจึงเรียกเขา ว่า จุนทสูกริก (จุนทะคนฆ่าหมู)

เขาจะนำข้าวเปลือกใส่เกวียนเร่ขายไปตามชนบท แล้วประกาศเชิญชวนให้คนเลี้ยงหมูนำ ลูกหมูมาขาย โดยเขาจ่ายค่าหมูเป็นข้าวเปลือก ๑ - ๒ ทะนานต่อลูกหมู ๑ ตัว เมื่อข้าวเปลือกหมด แล้ว เขาก็ขนลูกหมูเหล่านั้นมาเลี้ยงจนเติบโตขึ้นตามลำดับแล้วถึงเวลาฆ่าหมูขาย

เขามีวิธีฆ่าหมูดังนี้ เริ่มด้วยการจับหมูตัวนั้นมัดแน่นแล้วทุบตัวหมูด้วยค้อน เนื้อตัวบวมขึ้น เขาใช้ไม้ง้างปากไว้แล้วกรอกน้ำร้อนที่เดือดพล่านเข้าไปล้างลำไส้ ขับไล่อาหารทั้งใหม่และเก่า พร้อมทั้งสิ่งปฏิกูลอื่นๆ ออกมา เขากรอกน้ำร้อนอย่างต่อเนื่องจนกว่าน้ำที่ไหลออกทางทวารหนัก ของหมูจะเป็นน้ำใส (หมูบางตัวก็สิ้นใจตาย บางตัวก็ยังไม่ตาย) แล้วใช้น้ำร้อนลวกตามผิวหนังที่ สกปรกออก ใช้คบเพลิงหญ้าลนเผาขนหมู และใช้ดาบคมตัดคอหมูขาดลง ใช้ภาชนะรองเลือดไว้ จากนั้นเขาชำแหละหมูออกเป็นส่วนๆ ทั้งเพื่อกินเองและจำหน่าย เขาทำอยู่เช่นนี้นาน ๕๕ ปี,

เขาไม่เคยเข้าไปในพระเวฬุวันวิหาร ไม่เคยถวายภิกษาแม้เพียงทัพพีเดียว บุญแม้อื่นๆ เขาก็ ไม่ได้ทำ

จนวันหนึ่ง โรคบางอย่างเกิดขึ้น ร่างกายเขาร้อนรุ่ม...(ดุจกายเขาไปอยู่ในอเวจีนรกแล้ว) ความร้อนในอเวจีมหานรกปรากฏแก่เขา (นายจุนทะรู้อยู่คนเดียว เป็นความร้อนในกายที่เกิดจาก อกุศลกรรมให้ผล) ความร้อนเพิ่มความทุกข์กายทุกข์ใจยิ่งขึ้นๆ (จนคุมสติไม่ได้) เขาส่งเสียงร้อง ดังลั่นเหมือนหมู (ถูกทุบตี กรอกน้ำร้อน) คลานไปทั่วเรือน ภรรยาและพวกญาติเกรงใจเพื่อนบ้าน จึงช่วยกันจับเขาขังไว้ในห้อง ถึงกระนั้นตอนกลางคืนเสียงร้องดุจหมูของเขาก็ดังไปโดยรอบ ๗ หลังคาเรือน เพื่อนบ้านถึงกับนอนไม่หลับ, พวกภิกษุเข้ามาบิณฑบาตในละแวกนั้นต่างได้ยินเสียง หมูร้อง คิดว่า นายจุนทสูกริกคงฆ่าหมูขายเหมือนทุกวัน,

ในวันที่ ๘ ภิกษุทั้งหลายไม่ได้ยินเสียงหมูร้อง กลับถึงพระเวฬุวันวิหารแล้วกราบทูลว่า "นายจุนทะฆ่าหมูอยู่ภายในเรือน ๗ วันแล้ว วันนี้เขาน่าจะมีงานมงคลอะไรสักอย่างหนึ่งแน่ๆ จึงไม่ได้ยินเสียงหมูร้องแล้ว พระเจ้าข้า เขาไม่มีเมตตาจิต หรือกรุณาจิตเกิดขึ้นบ้างเลย"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เขาไม่ได้ฆ่าหมูหรอก เขากำลังประสบผลของอกุศลกรรมอยู่ เขาถูกความเร่าร้อนจากอเวจีมหานรกถาโถมใส่อยู่ จึงส่งเสียงร้องแบบหมูมาตลอด ๗ วัน วันนี้ เป็นวันที่ ๘ เขาสิ้นใจตายเข้าถึงอเวจีมหานรกแล้ว" ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า เขาประสบความ โศกในโลกนี้แล้ว ยังถึงฐานะที่ต้องโศกเศร้าต่อเนื่องอีกหรือ? ตรัสว่า เป็นอย่างนั้น ผู้ประมาท ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสองแน่, แล้วตรัสภาษิตนี้

 

อธิบายพุทธภาษิต

 

ผู้ทำกรรมอันเป็นบาปต่างๆ ย่อมเศร้าใจในโลกนี้ แม้สมัยใกล้มรณะ ก็ยังเศร้าโศกว่า "เราไม่ได้ทำกรรมดีไว้ เราทำกรรมชั่วไว้" นี้เรียกว่า เป็นความทุกข์โศกเพราะ กรรม, เมื่อเขาเสวยผลบาปอยู่ (ในอเวจีมหานรก) ก็เรียกว่า ละไปแล้วย่อมทุกข์โศก (เพราะบาป ให้ผล) เพราะวิบากในโลกหน้า, เขาย่อมทุกข์โศกในโลกทั้งสองอย่างนี้, ตอนยังมีชีวิตอยู่นายจุนทะ ก็ทุกข์โศกเพราะนึกถึงกรรมเศร้าหมองของตนทีไรก็เดือดร้อน คือ พร่ำเพ้อรำพันถึงความลำบาก ทางกายและใจ (ดู ธ.อ.๑/๑๒๗-๑๓๐)

 

คติธรรมความรู้ การฆ่าสัตว์ขาย เป็นอาชีพที่มนุษย์ยอมรับกันว่า "สุจริต" แต่เมื่อมองลึกลงไปในจิตใจ ก็เป็นความ "ทุจริต" เพราะฆ่าด้วยจิตฝ่ายชั่ว คือ โทสะ


พิมพ์