พระยาปายาสิ ผลแห่งบุญ : ผลแห่งการให้ทานโดยไม่เคารพ เกิดในวิมานอันว่างเปล่า

พระยาปายาสิ ผลแห่งบุญ : ผลแห่งการให้ทานโดยไม่เคารพ เกิดในวิมานอันว่างเปล่า

ปริยัติธรรม

หนังสือนิทานบำเพ็ญบุญ 100 เรื่อง

เจ้าปายาสิทำทานโดยไม่เคารพตายแล้วเกิดเป็นภุมมเทวดาในจาตุมหาราชิกา

พระยาปายาสิครอบครองเสตัพยนคร เป็นนครที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานให้เป็นบำเหน็จความดีความชอบ...

เมื่อพระกุมารกัสสปะแสดงธรรมปลดเปลื้องพระยาปายาสิให้ตั้งอยู่ในความเห็นความชอบแล้ว พระยาปายาสิก็ได้ถวายมหาทานแด่พระเถระและภิกษุสงฆ์ตลอด ๗ วันและตั้งแต่บัดนั้น เจ้าปายาสิก็ได้ตั้งโรงทานให้ทานแก่คนต่าง ๆ แล้วตั้งให้อุตตรมาณพทำหน้าที่จัดการให้ทานแทน แต่ทานที่พระยาปายาสิจัดเตรียมแล้วบริจาคให้แก่สมณะ พราหมณ์ และคนยากไร้ เป็นต้นนั้น เป็นทานที่ไม่ประณีตเลย คือให้ข้าวปลายเกรียน มีน้ำส้มผักดองเป็นกับข้าว ส่วนผ้าก็ให้ผ้าเนื้อหยาบที่ตัดเย็บไม่เรียบร้อย อุตตรมาณพให้ทานไปไม่สบายใจไป วันหนึ่งเขาก็กล่าววาจาตั้งความปรารถนาขอให้ทานที่กระทำในชาตินี้ช่วยให้ได้พบกับเจ้าปายาสิเพียงชาตินี้ชาติเดียว

ความปรารถนาของเขาล่วงรู้ไปถึงเจ้าปายาสิ พระองค์ทรงสอบถามและยอมให้จัดทานที่ประณีตเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงบริโภคและใช้สอยได้ แต่ตัวพระองค์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนอากัปกิริยาที่ให้ทาน คือ ทรงให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ให้ด้วยมือตัวเอง ให้โดยไม่นอบน้อมและให้อย่างทิ้งขว้าง ส่วนอุตตรมาณพมีอากัปกิริยาในการให้ทานตรงกันข้าม เช่น ให้โดยเคารพ เป็นต้น

อุตตรมาณพตายแล้วเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ อยู่ร่วมกับเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์

ส่วนพระยาปายาสิสวรรคตแล้ว เกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในเสรีสกวิมานอันว่างเปล่าในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

วิมานเงิน ภายในว่างเปล่า มีต้นซีก (จามจุรี) ขนาดใหญ่อยู่ใกล้กับประตูวิมานนั้นเหตุนั้น วิมานนี้จึงชื่อว่า เสรีสกะ (ท่านเรียกว่าเป็นเทวดาจำพวกภุมมเทวดา, วิมาน.อ.๖๐๔)

อรรถกถาทีฆนิกายอธิบายว่า เสรีสกวิมาน เป็นวิมานสำหรับเทวดาที่มาจากทิศต่าง ๆ, ตั้งอยู่ในดงที่ชื่อว่า วัฏฏนี (ที.อ.๒/๒/๓๙๘) ท่านอธิบายเช่นนี้ก็พอเห็นภาพวิมานว่างเปล่าไม่มีใครเป็นเจ้าของตายตัว เป็นวิมานที่เทวดาผู้ผ่านมาสามารถเข้าพักได้ โดยมีปายาสิเทพบุตร (หรือเสรีสกเทพบุตร) เกิดอยู่ที่นี่ จึงต้องอยู่ประจำองค์เดียว

พระควัมปติเถระไปพักกลางวันในเทพวิมานว่างเปล่าปายาสิเทพบุตรฝากข่าวให้มนุษย์ที่เคยเป็นบริวาร ทำบุญแล้วให้ตั้งใจไปเกิดอยู่ด้วยกัน

ต่อมา พระควัมปติเถระ (หนึ่งในสหายของพระยสกุลบุตร ท่านเคยเป็นภุมมเทวดาอยู่ในวิมานแห่งนี้ จึงผูกพันมาก) มาพักผ่อนกลางวัน และได้พบกับเทพบุตรนี้ จึงได้สนทนากัน...

พระควัมปติ : ผู้มีอายุท่านเป็นใคร?

ปายาสิเทพบุตร : ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าคือ อดีตเจ้าปายาสิ ตายแล้วเกิดอยู่ที่นี่

พระควัมปติ : ท่านพระยาเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริตจากธรรมมิใช่หรือ ท่านมาเกิดที่นี่ได้อย่างไร?

ปายาสิเทพบุตร : ข้าพเจ้าได้รับความอนุเคราะห์จากพระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสปเถระ ช่วยสอนช่วยแนะนำให้ละคลายจากความเห็นผิดเหล่านั้นข้าพเจ้าได้มาอุบัติในวิมานว่าง  เพราะทำบุญด้วยความไม่เคารพ,เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปสู่มนุษยโลก ขอให้ท่านช่วยบอกแก่หมู่บริวารของข้าพเจ้า (=ในเสตัพยนคร) ว่า เจ้าปายาสิที่ถวายทานโดยไม่เคารพ ตายแล้วเกิดในวิมานไม้ซึกอันว่างเปล่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงทำบุญโดยเคารพ จงตั้งใจให้แน่วแน่ในบุญเพื่อจะได้เกิดในวิมานนั้น (= ชวนให้ทำบุญแล้วตั้งใจปรารถนาให้ไปเกิดในเสรีสควิมาน จะได้มาอยู่กับตน)

พระควัมปติต้องการอนุเคราะห์เทพบุตร จึงไปเสตัพยนครและบอกเล่าเรื่องดังกล่าว แก่คนที่เป็นบริวารของอดีตเจ้าปายาสิ, พวกเขาตั้งใจทำบุญแล้วตั้งใจไปเกิดในเสรีกวิมาน

ปายาสิเทพบุตรทำหน้าที่อารักขาคนดีให้ข้ามทะเลทราย... พวกพ่อค้าตะลึงในความงามของเทพวิมาน

ต่อมา ท้าวเวสวัณมหาราชได้มีเทวโองการให้เสรีสกเทพบุตร (=ปายาสิเทพบุตร) ให้ทำหน้าที่อารักขาและช่วยเหลือพวกมนุษย์ที่เดินทางข้ามทะเลทรายไร้ต้นไม้และน้ำแห่งหนึ่ง อันเป็นเขตที่พวกอมนุษย์มักทำอันตรายมนุษย์

สมัยหนึ่ง มีพวกพ่อค้าชาวแคว้นอังคะและมครนำเกวียนสินค้า ๑,๐๐๐ เล่มผ่าน เพื่อจะไปยังสินธุประเทศและโสวีรประเทศ กลางวันร้อนมาก พวกเขาไม่เดินทาง เลือกเดินทางตอนกลางคืน โดยกำหนดดวงดาวเป็นจุดหมายไม่ให้หลงทาง แต่ก็หลงทางจนได้ เดินวนอยู่จนเสบียงเดินทางหมด ไม่มีอาหารและน้ำเหลืออยู่เลย

ในหมู่พ่อค้าเหล่านั้น มีอุบาสกอยู่ด้วยคนหนึ่ง เขาเป็นคนมีศรัทธาปสาทะ มีศีล มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต ทำอาชีพค้าขายเพื่อเลี้ยงดูมารดาบิดา

ปายาสิเทพบุตร (หรือเสรีสกเทพบุตร) เห็นอุบาสกและพวกพ่อค้าแล้ว ต้องการสงเคราะห์อุบาสกผู้เลี้ยงดูพ่อแม่ จึงปรากฏตัวพร้อมกับวิมาน (พระอาจารย์ผู้ร้อยกรองพระธรรมเล่าไว้ว่า เจ้าปายาสิเกิดอยู่ในหมู่กุมมเทวดา) กล่าวถามพวกมนุษย์ว่า "มนุษย์ทั้งหลาย ถิ่นนี้เป็นถิ่นของพวกอมนุษย์ เป็นทะเลทราย ไม่มีอาหารผลไม้ น้ำ มีแต่ฝุ่นทราย และความร้อนดุจกระเบื้องถูกเผาไฟ พวกท่านปรารถนาอะไร มีใครล่อหลอกให้โลภหรือว่า กลัวอมนุษย์ จึงเดินมาทางนี้ หรือว่าหลงทาง?"

พวกพ่อค้าตอบว่า "พวกเราเป็นพ่อค้ามาจากอังคะและมครนำสินค้าใส่เกวียนจะไปยังประเทศสินธุและโสวีระ กลางวันทั้งคนทั้งสัตว์พาหนะลำบากมาก จึงเดินทางเฉพาะตอนกลางคืนทำให้หลงทาง

ข้าแต่ท่านเทพผู้ควรบูชา พวกเราได้พบเห็นวิมานและพบท่านอันน่าอัศจรรย์ ซึ่ง พวกเราไม่เคยได้พบมาก่อนเลย จึงหวังความช่วยเหลือจากท่านให้รอดตายจากแดนทราย แห่งนี้"

เทพบุตรต้องการให้พวกพ่อค้าชื่นชมความน่าอัศจรรย์ของวิมาน จึงถามว่า "พวกท่านเดินทางค้าขายไปยังเมืองโน้นเมืองนี้ ได้พบสิ่งน่าอัศจรรย์อะไรบ้าง เล่าให้เราฟังบ้างสิ?"เหล่าพ่อค้าตอบว่า "สิ่งที่พวกเราได้พบเห็นมา ไม่มีสิ่งใดน่าอัศจรรย์กว่าวิมานของท่านเลยวิมานของท่านมีรัศมีสวยงาม มีสระโบกขรณี ต้นไม้ผลไม้ดอก ส่งกลิ่นหอมมีเสา ๑,๐๐๐ ต้นประดับด้วยรัตนะต่าง ๆ ภายในก็มีข้าว น้ำ และนางเทพอัปสรมากมาย" (เดิมทีเข้าใจว่าเสรีสควิมานนั้นเป็นวิมานว่างเปล่า แต่พอถึงตอนนี้ทำให้เห็นภาพว่า ปายาสิเทพบุตรเป็นเทพบุตรดูแลแดนเสรีสควิมาน อันพวกเทพจรมาพำนัก ส่วนตัวปายาสิเทพบุตรก็มีวิมานส่วนตัวของตนด้วย) แล้วพวกพ่อค้าก็ถามว่า "ท่านเป็นเทวดา ยักษ์ เป็นท้าวสักกะหรือว่าเป็นมนุษย์? ท่านเป็นเทวดาชื่ออะไร?"

เทพบุตรตอบว่า "เราเป็นเทวดาชื่อ เสรีสกะ ทำหน้าที่ตามเทวบัญชาของท้าวเวสวัณในการดูแลรักษาคุ้มครองหนทางกันดารในทะเลทรายแห่งนี้" พ่อค้าถามว่า "วิมานที่น่าพึงใจนี้ ท่านได้มาอย่างไร?" เทพบุตรตอบว่า "วิมานนี้มิใช่เราสร้างขึ้นเอง มิใช่โชคช่วย มิใช่เทวดาเนรมิตให้ แต่ได้มาด้วยกำลังบุญกรรมที่ไม่ชั่วช้าของเราเอง"

ปายาสิเทพบุตรประกาศว่า ตนเองเป็นอุบาสก มีศีล มีกัลยาณธรรมได้ เพราะพระกุมารกัสสปะ...สลดใจ ๑๐๐ ปีผ่านไปเร็วมาก

พวกพ่อค้าถามว่า "ครั้งนั้น ท่านเทวดามีวัตรและประพฤติพรหมจรรย์อะไรหรือ?" ปายาสิเทพบุตรชี้แจงว่า "ตนเองเคยเป็นพระราชา ยืดถือนัตถิกทิฏฐิ (เห็นผิดว่าบาปบุญไม่มีผล) เป็นคนตระหนี่ ต่อมาได้พบและฟังธรรมจากพระสมณะนามว่า กุมารกัสสปะ จึงได้ละทิฏฐิเหล่านั้น ได้ปฏิญาณเป็นอุบาสก สมาทานรักษาศีล ๕ จึงได้วิมานนี้"

พ่อค้าเห็นเทพบุตรและวิมานประจักษ์ชัดแจ้งแล้ว จึงเชื่อกรรมและผลของกรรมแล้วกล่าวแสดงความเห็นว่า "ได้ยินว่า คนมีปัญญาทั้งหลาย พูดแต่คำจริง คำของบัณฑิตจึงไม่แปรปรวนกลายเป็นอื่น คนผู้ทำบุญไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด ๆ ย่อมมีแต่สิ่งที่น่ารักน่าใคร่บันเทิงใจอยู่ ณ ที่นั้น,  ความโศก การร้องไห้ การฆ่า การจองจำ และเหตุร้าย ๆ เกิดขึ้น ณ ที่ใด ๆ คนทำบาปก็ย่อมอยู่ในที่นั้น ๆ ย่อมไม่พ้นจากทุคติได้ ไม่ว่าจะในกาลไหน ๆ"

ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ฝักของตันซึกที่แก่จัด ก็หลุดจากขั้วร่วงหล่นลงใกล้ประตูวิมาน ปายาสิเทพบุตรและบริวาร (อดีตข้าทาสฟังคำบอกเล่าจากพระควัมปติแล้วทำบุญตั้งความปรารถนาให้ได้เกิดร่วมกับเจ้าปายาสิ เมื่อตายแล้วจึงมาเกิดเป็นภุมมเทวดาหรือภุมมัฏฐเทวดา) เห็นแล้วเกิดความสลดใจเศร้าใจ พวกพ่อค้าจึงถามว่า "เหตุใด ตัวท่านกับเทพบริวารเกิดความสลดใจเศร้าใจ?"

เทพบุตรตอบว่า "เพราะกลิ่นหอมทิพย์จากต้นซึก ย่อมส่งกลิ่นหอมไปทั่ววิมานทั้งยังช่วยให้พวกเรามีรัศมีกำจัดความมืดทั้งกลางวันกลางคืน ฝักของต้นซึกจะหล่นแตกทุกๆ ๑๐๐ปี เป็นอันว่าขณะนี้ ตั้งแต่เรามาเกิดในที่แห่งนี้ เป็นเวลา ๑๐๐ ปีมนุษย์แล้วส่วนพวกเรามีอายุอยู่ในวิหารนี้ได้ ๕๐๐ ปีทิพย์ (= ๙ ล้านปีมนุษย์) ก็จะจุติ(ตาย) เพราะสิ้นบุญและสิ้นอายุ พวกเรานึกถึงอายุที่กำลังสิ้นไป จึงสลดใจ"

พวกพ่อค้ากล่าวว่า "ท่านได้วิมานที่งดงาม หาสิ่งใดเปรียบมิได้ทั้งอายุก็ยืนนานจะเศร้าโศกทำไมเล่า ถ้าท่านมีบุญน้อย มีอายุน้อย ได้อยู่ในวิมานงามเช่นนี้สิ ท่านจึงควรจะเศร้าโศก"

บอกแก่พวกพ่อค้าว่า ครั้งนี้ช่วยเหลือเพราะเห็นแก่ช่างตัดผมชื่อ สัมภวะ

ปายาสิเทพบุตรฟังคำของพวกพ่อค้าแล้วเกิดความสบายใจ กล่าวว่า "พวกพ่อทั้งหลายกล่าววาจาได้น่ารัก พูดได้สมควร เป็นคำเตือนให้เราได้คิด เราจะช่วยคุ้มครองการเดินทางของพวกท่าน เชิญท่านทั้งหลายเดินทางถึงที่หมายโดยสวัสดีเถิด" พวกพ่อค้ากล่าว (บนบาน)ว่า "พวกเราต้องการไปค้าขายหากำไร ได้มาแล้วจะสละทรัพย์จัดมหรสพบูชา ท่านเสรีสกเทพบุตรอย่างยิ่งใหญ่ที่เดียว"

เทพบุตรปฏิเสธมหรสพ และแนะนำให้พวกเขาทำสิ่งที่สมควรทำจะดีกว่า "พวกท่านอย่าได้ทำการบูชาเราเลย ความปรารถนาของพวกท่านในการเดินทางปลอดภัยและได้กำไรย่อมสำเร็จแน่ ขอพวกท่านจงงดเว้นการทำบาป และตั้งใจประพฤติธรรมเถิด ถือได้ว่านั่นเป็นการบูชาเราแล้ว"

เทพบุตรต้องการยกย่องอุบาสกคนหนึ่ง ซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มพ่อค้า ต้องการยกย่องอุบาสกคนนั้นให้หมู่พ่อค้ารู้จัก จึงกล่าวว่า

"ในหมู่พ่อค้านี้ มีอุบาสกอยู่คนหนึ่ง เป็นพหูสูต สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตร มีศรัทธา จาคะ อ่อนโยน มีปัญญาประจักษ์ (= ฉลาดในสิ่งที่จะทำ) สันโดษ มีความรู้ (มีปัญญารู้ประโยชน์ต่าง ๆ) ไม่พูดเท็จ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ไม่พูดส่อเสียด พูดวาจาอ่อนหวานน่ารัก

มีความเคารพยำเกรง (อ่อนน้อม ยำเกรงต่อผู้ควรเคารพ) มีวินัย ไม่เป็นคนเลว... เป็นคนเลี้ยงมารดาบิดาโดยธรรม...แสวงหาโภคะทั้งหลาย เพื่อเลี้ยงมารดาบิดา มิใช่เลี้ยงตนเมื่อบิดามารดาล่วงลับไป เขาเป็นผู้น้อมไปในเนกขัมมะ (= ในที่นี้หมายถึงน้อมไปในนิพพาน)จะประพฤติพรหมจรรย์ (=จะออกบวช)...

เพราะอุบาสกนั้นเป็นเหตุ เราจึงได้ปรากฏตัว ท่านทั้งหลาย พวกท่านจงเห็นธรรมเถิด (=ประพฤติธรรม) ถ้าไม่มีอุบาสกนั้นพวกท่านจะไร้ที่พึ่ง วุ่นวายเหมือนคนตาบอดหลงเข้าไปในป่า เป็นเถ้าถ่านอยู่ในทะเลทรายนี้ พวกท่านจงอย่าทอดทิ้งสัตบุรุษ การคบหากับสัตบุรุษย่อมเป็นสุขแท้"

พวกพ่อค้าถามว่า "อุบาสกที่ท่านเทวะพูดว่าอยู่ในหมู่ของพวกเรานั้น โปรดบอกเถิดว่าคนผู้นั้นเป็นใคร" ปายาสิเทพบุตรตอบว่า "ผู้นั้นชื่อ สัมภวะ เป็นช่างตัดผม (ช่างกัลบก) เป็นคนรับใช้ของพวกท่าน จงรู้เถิดว่าเขาเป็นอุบาสก พวกท่านอย่าได้ดูหมิ่นเขาเลย"หมู่พ่อค้ากล่าวว่า "พวกเรารู้ว่าเขาเป็นช่างตัดผม แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นอุบาสก ข้าแต่ท่านเทวดา ต่อไปพวกเราจะบูชาอุบาสกสัมภวะอย่างโอฬารที่เดียว"

พ่อค้าเหล่านั้นประกาศตนเป็นอุบาสกแล้ว เทพบุตรให้พวกเขาและกองเกวียนขึ้นบนวิมาน นำไปส่งยังประเทศทั้งสอง ค้าขายได้ผลกำไรแล้วนำกลับสู่กรุงปาฏลิบุตรอย่างปลอดภัย

ต่อมา พวกเขาได้สร้างเทวาลัยชื่อเสรีสกะ เป็นปราสาทเรือนยอด และมีที่พักกลางคืนไว้ด้วย เป็นต้น เพื่อบูชาเสรีสกเทพบุตร (ดู ขุ.วิ.ข้อ ๘๕, วิมาน.อ.๖๐๑-b๒๖)

คติธรรมสำคัญของเรื่อง : การให้ทาน เป็นการกำจัดความตระหนี่ กิริยาระหว่างให้ทาน กำจัดความถือตัว


พิมพ์