ปริยัติธรรม
หนังสือนิทานบำเพ็ญบุญ 100 เรื่อง
พี่น้องสองสาวมีสามีเดียวกัน พี่สาวชอบถวายทานเจาะจงบุคคลน้องสาวได้พระเรวตเถระแนะให้ทำทานในสงฆ์
กุฎุมพีคนหนึ่งในบ้านนาลกคาม (เขตแคว้นมคธ) มีลูกสาว ๒ คน คนพี่ชื่อภัททา คนน้องชื่อ สุภัททา ทั้งสองพี่น้องต่างเป็นผู้มีศรัทธา เลื่อมใสพระรัตนตรัย เฉลียวฉลาด
ต่อมา นางภัททาแต่งงานแล้วไปอยู่ตระกูลสามี หลายเดือนแล้วก็ยังไม่มีบุตรธิดา หมอแจ้งว่านางเป็นหญิงหมัน ด้วยความรักสามีและน้องสุภัททา จึงกล่าวกับสามีว่า "พี่จำน้องสุภัททายังไม่มีสามี น้องอนุญาตให้พี่สู่ขอเธอมาเป็นภรรยาได้อีกคนหนึ่ง ถ้ามีบุตรหรือธิดา เด็กนั้นก็ถือเป็นลูกของฉันด้วย วงศ์สกุลของพี่จะได้ไม่ขาดสูญนะ" สามีรับคำและสู่ขอนางสุภัททามาเป็นภรรยาอีกคน
เมื่อนางสุภัททามาแล้ว นางภัททาสอนน้องสาวว่า "น้องสุภัททาจ๋า สิ่งที่น้องจะต้องทำเป็นนิตย์ก็คือ ยินดีให้ทาน ไม่ประมาทในการประพฤติธรรม ประโยชน์ในปัจจุบันและประโยชน์ในภายภาคหน้าก็จะอยู่ในกำมือน้องแน่นอน" แต่นั้นนางสุภัททาก็ประพฤติตามโอวาทของพี่ภัททาเรื่ยมา, นางภัททาผู้เป็นพี่สาวชอบให้ถวายทานแก่ภิกษุที่ตนเลื่อมใสเท่านั้น
วันหนึ่ง นางสุภัททาพบกับพระเรวตเถระ (น้องพระสารีบุตร) นางเลื่อมใสมากกล่าวนิมนต์ท่านให้ไปฉันที่เรือน พระเถระปรารถนาให้นางสั่งสมบุญจึงแนะนำให้นางไปหาภิกษุที่ทำหน้าที่แจกภัต (รับนิมนต์แทนสงฆ์ เรียกว่า พระภัตตุทเทสก์) แลัวแจ้งความประสงค์นิมนต์ภิกษุ ๗ รูป นางก็ได้ทำตามคำแนะนำนั้น
วันรุ่งขึ้น พระเรวตเถระและภิกษุอีก ๗ รูปจากสงฆ์ ก็มาฉันในเรือน นางสุภัททา เกิดความศรัทธามาก ถวายของเคี้ยวของบริโภคด้วยมือของตนเอง จนกระทั่งภิกษุฉันเสร็จพระเถระกล่าวอนุโมทนาแล้วกลับไป
น้องสาวถวายทานไม่กี่ครั้ง ตายแล้วเกิดสวรรค์นิมมานรดีพี่สาวถวายทานบ่อยกว่า เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ไม่นานนัก นางสุภัททาตายแล้วเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
ส่วนนางภัททาเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทพธิดาบริจาริกา (นางบำเรอด้วยการขับการฟ้อน) ของท้าวสักกะ
ต่อมา สุภัททาเทพธิดาพิจารณาถึงเหตุที่ทำให้ได้ทิพยสมบัติ คือ รุ่งเรืองด้วยวรรณะ (ผิวพรรณ รัศมี รูปร่างงาม ความงามพร้อมเครื่องประดับ) และยศ (ความเป็นใหญ่กว่าเทพธิดาด้วยกัน) เป็นต้น ก็เห็นว่าเราเกิดในสวรรค์นี้ เพราะตั้งอยู่ในโอวาทของพี่ภัททา (มุ่งประโยชน์ ครองเรือนมีสามีคนเดียวกันอย่างมีความสุข) เราจึงได้โอกาสให้ทักษิณามุ่งไป ในสงฆ์ แล้วตอนนี้พี่ภัททาอยู่ที่ไหนเล่า? ก็เห็นพี่ภัททาไปเกิดเป็นเทพธิดา เป็นบริจาริกาของท้าวสักกะ ด้วยความคิดถึงอดีตพี่สาว สุภัททาเทพธิดาจึงไปหาภัททาเทพธิดายังวิมาน ในสวรรค์ดาวดึงส์ เห็นแล้วก็ร้องเรียกว่า "พี่ภัททา"
ภัททาเทพธิดาได้ยินคำร้องเรียกแล้วถามว่า
"ท่านรุ่งเรืองด้วยวรรณะ ยศ ล้ำกว่าเทวดาดาวดึงส์ทั้งมวล ข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นท่านมาก่อน นี่เป็นการพบกันครั้งแรก ท่านมาจากที่ใดจึงมาเรียกข้าพเจ้าว่า ภัททา ซึ่งเป็นชื่อเดิมของข้าพเจ้า?"
สุภัททาเทพธิดาตอบว่า "พี่ภัททาของน้อง น้องชื่อสุภัททา ในภพก่อนตอนพวกเราเป็นมนุษย์ น้องเป็นน้องสาวของพี่ เรามีสามีคนเดียวกัน เมื่อตายจากโลกมนุษย์แล้ว น้องได้มาเกิดเป็นเทพธิดาร่วมกับพวกเทพชั้นนิมมานรดี"
ภัททาเทพธิดาถามว่า "น้องสุภัททาได้เกิดในหมู่เทพชั้นนิมมานรดี น้องไปเกิดด้วยกรรมดีอะไรหรือ ใครสั่งสอนน้องให้ถึงความเรื่องยศ และความวิเศษต่างๆ เพราะได้ให้ทานและประพฤติวัตรอันดีอะไรไว้?"
สุภัททาเทพธิดาตอบว่า "เมื่อชาติก่อน น้องมีใจเลื่อมใส ถวายบิณฑบาต ๘ ที่ แต่พระสงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลด้วยมือทั้งสองของตนเองเทียว เพราะบุญนั้น น้องจึงถึงทิพยสมบัติเช่นนี้"
ภัททาเทพธิดาสงสัยว่าตนเองก็ให้ทานไว้เป็นอันมาก เหตุใดจึงเกิดในหมู่เทพต่ำกว่าจึงถามว่า "พี่เองก็มีใจเลื่อมใส ถวายข้าวและน้ำแก่ภิกษุทั้งหลายผู้สำรวมอินทรีย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยมือของพี่เอง ให้มากกว่าที่น้องให้ แต่กลับเกิดในหมู่เทพต่ำกว่าน้อง ส่วนน้องได้ถวายทานเพียงไม่กี่ครั้ง ทำไมจึงได้ความพิเศษเช่นนี้เล่า น้องโปรดบอกเถิดว่าเป็นผลของกรรมอะไร?"
สุภัททาเทพธิดาบอกกุศลกรรมที่ทำไว้ว่า "ชาติก่อน น้องได้พบเห็นภิกษุผู้น่าเจริญใจ คือ ท่านพระเรวตเถระ จึงได้นิมนต์ท่านร่วมกับภิกษุอื่นรวมเป็น ๘ รูป ให้ฉันภัตพระเรวตเถระต้องการอนุเคราะห์น้อง จึงแนะให้น้องถวายสงฆ์ น้องทำตามท่าน ทักษิณานั้นจึงเป็นสังฆทาน มีผลประมาณไม่ได้ ส่วนพี่ถวายทานเจาะจงบุคคล ทานจึงไม่มีผลมาก"
ภัททาเทพธิดาฟังแล้วกล่าวว่า "พี่เพิ่งรู้ในบัดนี้เองว่า การถวายสังฆทานนี้มีผลมาก หากพี่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก พี่จะรู้ความประสงค์ของผู้ขอ (ว่าเขาไม่มีจึงมาขอ ก็พร้อมจะให้) จะเป็นผู้ปราศจากความตระหนี่ จะถวายมุ่งสงฆ์ และจะไม่ประมาทเป็นนิตย์เทียว"จบการสนทนาแล้ว สุภัททาเทพธิดาก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน...
ท้าวสักกะตรัสว่า เคยได้สดับอานิสงส์การถวายทานแก่สงฆ์จากพระพุทธเจ้า
การสนทนาของเทพธิดาทั้งสองตกอยู่ในพระเนตรพระกรรณของท้าวสักกเทวราช เซนทรงเห็นเทพธิดามีรัศมีรุ่งเรืองกว่าเทพดาวดึงส์ แต่ทรงไม่รู้จักชื่อจึงตรัสถามภัททาเทพธิดา ว่า "แน่ะภัททา นางเทพอัปสรที่มาสนทนากับเธอนั้นเป็นใครกัน นางมีรัศมีรุ่งโรจน์กว่า เทพดาวดึงส์มาก?"
ภัททาเทพธิดาทูลว่า "ข้าแต่องค์จอมเทพ นางเทพอัปสรผู้นั้น เมื่อชาติก่อนเป็น มนุษย์ เป็นน้องสาวและร่วมสามีเดียวกันกับหม่อมฉัน เธอทำบุญ คือทานเจาะจงสงฆ์ จึงได้ถึงความรุ่งเรืองในบัดนี้ เจ้าข้า"
ท้าวสักกะทรงสดับความแล้ว ตรัสสรรเสริญสังฆทานว่ามีผลมาก "แน่ภัททา น้องสาวของเธอรุ่งเรืองกว่า เพราะปางก่อนได้ถวายทักษิณาทานในสงฆ์ที่มีผลประมาณมิได้
ที่จริง เราได้เคยทูลถามพระพุทธเจ้าครั้งประทับอยู่ ณ เขาคิชฌกูฏ ว่าผลของไทยธรรมที่ถวายในบุญเขตใดเล่า จึงมีผลมาก?
พระพุทธเจ้าผู้ทรงทราบกรรมและผลกรรม ได้ตรัสตอบว่า ทานที่ถวายในสงฆ์มีผลมาก คือ ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่ออริยมรรค ๔ จำพวก (โสดาปัตติมรรค เป็นตัน) และท่านผู้ตั้งอยู่ในอริยผล ๔ จำพวก (โสดาปัตติผล เป็นต้น) รวมเป็นพระอริยบุคคล ๘ จำพวกชื่อว่าพระสงฆ์ เป็นผู้ปฏิบัติตรง ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาและศีล
สำหรับมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญ ให้ทานอยู่ ทำบุญเพื่อประโยชน์ (บุญที่ยังอยู่ในสังสารวัฏ) ในความเวียนว่ายตายเกิด ทานที่ถวายในสงฆ์ย่อมมีผลมาก
เพราะพระสงฆ์มีคุณใหญ่ไพศาล (ทรงคุณธรรม ทำให้ทานที่ถวายมีผลมาก) ประมาณมิได้ว่ามีคุณเท่านั้นเท่านี้ เหมือนน้ำในทะเล ยากจะคาดคะเนว่ามีปริมาณอยู่เท่านั้นเท่านี้
พระสงฆ์เหล่านั้น เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกผู้มีความเพียรในหมู่นรชน เป็นผู้สร้างแสงสว่าง เพราะนำพระสัทธรรมออกชี้แจง
ปวงชนเหล่าใด ถวายทานอุทิศสงฆ์ ทักษิณาของชนเหล่านั้น ชื่อว่าถวายดีแล้วเซ่นสรวงดีแล้ว บูชาดีแล้ว เป็นทักษิณาที่มีผลมาก อันพระผู้ทรงรู้แจ้งโลก ตรัสสรรเสริญแล้ว
ชนผู้ถวายแล้วหวนระลึกถึง ย่อมเกิดความโสมนัส กำจัดมลทินคือความตระหนี่พร้อมทั้งรากเหง้า (เช่น อวิชชาและวิจิกิจฉา) เสียได้ เที่ยวไปในโลกก็ไม่ถูกผู้รู้ติเตียนย่อมเข้าถึงสถานอันเป็นแดนสวรรค์" (ดู ขุวิ.ข้อ ๓๔, วิมาน.อ. ๒๖๓-๒๗๒)
คติธรรมสำคัญของเรื่อง : ทานที่ให้แก่ผู้รับที่ตนชอบใจ มีผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่หมู่สงฆ์ เพราะตนได้พัฒนาจิตใจ