สักกเทวราช ผลแห่งบุญ : ทรงเกรงมรณภัย... บรรลุโสดาปัตติผล

สักกเทวราช ผลแห่งบุญ : ทรงเกรงมรณภัย... บรรลุโสดาปัตติผล

ปริยัติธรรม

หนังสือนิทานบำเพ็ญบุญ 100 เรื่อง

บุพนิมิตเกิดแก่ท้าวสักกะ ทรงรู้ว่ากำลังจะสิ้นอายุขัย ทรงเห็นว่ามีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้

ท้าวสักกะเริ่มนับถือพระพุทธเจ้าตั้งแต่ครั้งที่ยังไม่ตรัสรู้ ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ครั้งที่เด่นชัดคือการรับพระจุฬาโมลี (มวยผมจุก) ไปยังเทวโลก (ตอนเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์, ตามมติอรรถกถา)

ครั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท้าวสักกะก็เข้าเฝ้าพร้อมกับเหล่าเทวดาบ่อย ๆ เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนถึงกาลที่อายุของท้าวสักกะกำลังจะสิ้นลง (ในอีก ๗ วันของสวรรค์) บุพนิมิต ๕ประการปรากฏแก่พระองค์ คือ


๑. ดอกไม้เหี่ยว
๒. เครื่องนุ่งห่มเศร้าหมอง
๓. มีเหงื่อออกทางรักแร้ (ปกติไม่เคยออก)
๔. ผิวพรรณเศร้าหมอง
๕. ไม่อาจนั่งอยู่ที่นั่งประจำพระองค์ได้ (ดู ม.อ.๓/๒/๔๙ -๕o)

ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า "บัดนี้ อายุของเราหมดแล้ว เรากำลังจะต้องพลัดพรากจากทิพยสมบัติอันมากมายไปแล้ว" ทอดพระเนตรดูเทพนครหมื่นโยชน์ ปราสาทเวชยันต์ สุธัมมาเทวสภา ต้นปาริฉัตร พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ หมู่นางฟ้อน หมู่เทพ ๒ หมู่ (จาตุมหาราชิกากับดาวดึงส์ สวนนันทวัน สวนจิตรลดา สวนมิสสกะ สวนปารุสกะ,ทรงเกิดความหวาดกลัว ทรงดำริว่า "จะมีใครช่วยเราได้บ้างหนอ จะมีสมณะ พราหมณ์หรือมหาพรหมท่านใดในโลกที่จะสามารถถอนความทุกข์ในโลกของเรา และทำให้เราดำรงอยู่ในทิพยสมบัติเหล่านี้ต่อไปได้บ้างหนอ"

ทรงเห็นว่า "นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดจะขจัดทุกข์โศกของเราในครั้งนี้ได้ เราควรรีบไปเข้าเฝ้าพระองค์" แล้วทรงรำพึงว่า "ขณะนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหนหนอ?" ก็ทอดพระเนตรเห็นว่าประทับอยู่ในถ้ำอินทสาละ ณ ภูเขาเวทิยกะเป็นด้านเหนือของบ้านพราหมณ์ชื่ออัมพสณฑ์ อยู่ทิศตะวันออกของกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ

เสด็จเข้าเฝ้า ณ ถ้ำอินทสาละ ทูลถามปัญหา ๑๔ ข้อทรงบรรลุโสดาปัตติผล แล้วทรงจุติแล้วเกิดเป็นท้าวสักกะตามเดิม

ปกติพวกเทวดาจะเข้าเฝ้าในมัชฌิมยาม ครั้งนี้ท้าวสักกะทรงกลัวมรณภัย ประสงค์จะรีบเข้าเฝ้า จึงเปลี่ยนเวลาจะเข้าเฝ้าตอนปฐมยาม โดยทรงชักชวนหมู่เทพดาวดึงส์และจาตุมหาราชิกาไปด้วยกัน แต่ทรงเกรงว่าจะไม่ได้โอกาสทูลถามปัญหา จึงตรัสขอให้ปัญจสิขคนธรรพเทพบุตรเข้าไปเฝ้า กราบทูลขอโอกาสจากพระพุทธเจ้าให้ก่อน เนื่องจากทรงเห็นว่า เทพบุตรองค์นี้อุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้าบ่อย และพระศาสดาก็ทรงโปรดปราน

ปัญจสิขคนธรรพเทพบุตรรับเทวบัญชาแล้ว เข้าเฝ้าบรรเลงพิณขับเพลงสดุดีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และคุณแห่งความเป็นพระอรหันต์ จบแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสนทนาด้วย เทพบุตรจึงกราบทูลขอพระวโรกาสให้ท้าวสักกะและหมู่เทพเข้าเฝ้า ซึ่งก็ทรงอนุญาตแล้ว

ก่อนหน้านี้ ท้าวสักกะเคยเสด็จไปจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทีสลฬาคาร ใกล้กรุงสาวัตถี แต่พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าญาณของท้าวเธอยังไม่แก่กล้าพอ ต้องรออีกระยะหนึ่งให้ท้าวเธอเห็นบุพนิมิต ๕ แล้วกลัวตายจะไปเข้าเฝ้าที่ถ้ำอินทสาละ (ถ้ำช้างน้าว) พร้อมด้วยเทวดาในสวรรค์ทั้งสอง จะทรงทูลถามปัญหา ๑๔ ข้อ จบแล้วท้าวสักกะและหมู่เทพหลายหมี่นองค์จะบรรลุโสดาปัตติผล ดังนั้น ครั้งนั้นจึงไม่ทรงให้เข้าเฝ้าด้วยการทรงเข้าผลสมาบัติอยู่

ท้าวสักกะได้รับประทานพระวโรกาสแล้วได้ทูลถามปัญหา ๑๔ ข้อ เช่นข้อแรกทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ มีอะไรเป็นเครื่องผูกพัน? และสัตว์เหล่าอื่นเป็นอันมากหวังความไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีศัตรู ไม่มีความคับแค้นใจแต่ไฉนยังเป็นผู้มีเวร...เป็นไปกับเวรอยู่อีกเล่า?"

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

"ขอถวายพระพร เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และสัตว์เหล่าอื่นเป็นอันมากมีความริษยา และความตระหนี่เป็นเครื่องผูกพัน.... เขาเหล่านั้นจึงยังเป็นผู้มีเวร มีอาชญา มีศัตรู มีความคับแค้นใจ ระคนไปด้วยเวรอยู่" ดังนี้เป็นตัน

จบการถามตอบ ท้าวสักกะบรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน "มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในภายหน้า (= บรรลุอรหัตตมรรค) ได้กราบทูลประกาศความยินดีในความเป็นพระสาวก และการได้อายุทิพย์เพิ่ม เป็นตัน ทรงใช้พระหัตถ์ตบพื้นดิน(ให้แผ่นดินเป็นพยาน) แล้วเปล่งอุทานว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ" (๓ ครั้ง) แม้เทวดาอีก ๘๐,๐๐๐ องค์ก็บรรลุธรรมจักษุด้วย

อรรถกถากล่าวว่า เมื่อท้าวสักกะบรรลุธรรมจักษุ เป็นพระโสดาบันแล้ว ทรงจุติ(ตาย) ต่อหน้าพระพักตร์พระศาสดานั่นแล แล้วทรงอุบัติ (เกิด) เป็นท้าวสักกะหนุ่ม ซึ่งการจุติและปฏิสนธิเป็นท้าวสักกะอีกครั้งนี้ มีแต่ท้าวสักกะและพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบเพราะอัตภาพของเหล่าเทพที่จุติจะไม่ปรากฏให้เห็น เป็นเหมือนการดับไปของเปลวประทีป

ท้าวสักกะบรรลุอนาคามิมรรค เป็นพระอนาคามีสิ้นอายุขัยแล้วจะไปพรหมโลก

ท่านเล่าว่า ต่อไปท้าวสักกะจะบรรลุอนาคามิมรรค แล้วไปเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก เป็นบุคคลหนึ่งในสามที่เป็นอริยะแล้วเพลิดเพลินยินดีในวัฏฏะยิ่ง ๆ ก่อนจะบรรลุอรหัตตมรรคแล้วปรินิพพาน

"เล่ากันว่า ท้าวสักกะนี้ จุติจากอัตภาพแห่งท้าวสักกะนั้นแล้วเป็นผู้มีกระแสในเบื้องบน ไปเกิดในอกนิฏฐพรหมโลก เพราะความที่ทรงบรรลุอนาคามิมรรคในอัตภาพนั้น(คือท้าวสักกะจะบรรลุอนาคามีมรรคตอนเป็นท้าวสักกะ ตายแล้วเกิดในสุทธาวาส ๕ คืออวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐา แล้วปรินิพพานในอกนิฏฐานี้) เมื่อทรงเกิดในชั้นอวิหาเป็นต้นแล้ว สุดท้ายจะเป็นอกนิฏฐคามีพรหม ได้ยินว่า ท้าวสักกะนี้จะทรงอยู่ในชั้นอวิหา ๑,๐๐๐ กัป ในอตัปปาอีก ๒,๐๐๐ กัป ในสุทัสสา ๔,๐๐๐ กัป ในสุทัสสี ๘,๐๐๐กัปและในอกนิษฐาอีก ๑๖ พันกัป รวมความว่า ท้าวเธอจะเสวยอายุพรหม ๓๑,๐๐๐ กัป ริงอยู่ สัตว์ที่ยินดีเป็นอย่างยิ่งในวัฏฎะแล้วมีอายุประมาณเดียวกับท้าวสักกะ มีอยู่ ๓ ท่าน คือท้าวสักกะ ๑ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ๑ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ๑"


พิมพ์