ปริยัติธรรม
หนังสือ สังสารวัฏ โดย สุรีย์ มีผลกิจ
** ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ หน้า ๑๕๕-๑๖๔ สารีปุตตเถรมาตุเปตวัตถุ แสดงกรรม ที่นํามารดาพระสารีบุตรไปสู่เปตวิสัย ความว่า
พระสารีบุตรถามนางเปรตตนหนึ่งว่า ดูก่อนนางเปรต ผู้ผอมมีแต่ซี่โครง ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่าง น่าเกลียด ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านเป็นใครหนอ จึงมายืนอยู่ในที่นี้ ?
นางเปรตนั้นตอบว่า เมื่อก่อนดิฉันเคยเป็นมารดาของท่าน ในชาติอื่น ๆ ดิฉันเข้าถึงเปตวิสัย เพียบพร้อม ไปด้วยความหิวกระหาย เมื่อถูกความหิวครอบงำแล้ว ย่อมกินน้ำลายน้ำมูก เสมหะอันเขาถมทิ้งไว้และกินมันเหลว แห่งซากศพที่เขาเผาอยู่ที่เชิงตะกอน กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตร และโลหิตแห่งบุรุษทั้งหลายที่ถูกตัดมือ ตัดเท้า และศีรษะ ที่เป็นแผล กินเนื้อ เอ็น และข้อมือข้อเท้า เป็นต้น ของชายหญิง กินหนอนและเลือดแห่งปศุสัตว์ และมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อยู่อาศัย นอนบนเตียงของคนตายซึ่งเขาทิ้งไว้ในป่าช้า ลูกเอ๋ย ขอลูกจงให้ทาน แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้แม่บ้าง ไฉนหนอ แม่จึงจะพ้นจากการกินหนองและเลือด
ท่านพระสารีบุตรเถระผู้มีจิตอนุเคราะห์ ได้ฟังคําของนางเปรตผู้เคยเป็นมารดาแล้วสลดใจ ปรึกษากับ ท่านพระโมคคัลลานเถระ ท่านพระอนุรุทธะ และท่านพระกัปปินะ แล้วจัดการให้สร้างกุฎี ๔ หลัง ถวายกุฎีพร้อม ทั้งข้าวน้ำ แก่สงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง ๔ อุทิศส่วนกุศลไปให้มารดา ในทันใดนั้น วิบากคือวิมาน ข้าว น้ำและผ้าก็เกิดขึ้น นางเปรตได้สถิต อยู่ในวิมานงดงาม นุ่งห่มผ้าอันมีค่ายิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี ประดับด้วยวัตถาภรณ์อันวิจิตร มีร่างกาย บริสุทธิ์สะอาด ข้าวน้ำโภชนาหารเพียบพร้อม นางได้เข้าไปหาท่านพระโมคคัลลานเถระ
ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า ดูก่อน นางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ส่องแสงสว่างไสว ไปทั่วทุกทิศ สถิตอยู่ดุจดาวประกายพฤกษ์ ท่านมีวรรณะเช่นนี้เพราะกรรมอันใด อิฐผลย่อมสําเร็จแก่ท่าน ในวิมานนี้เพราะกรรมอะไร ? โภคะทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่พอใจ ย่อมบังเกิดแก่ท่านเพราะกรรมอะไร ? ดูก่อน นางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถาม เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทําบุญอันใดไว้ อนึ่ง ท่านมีอานุภาพรุ่งเรือง มีรัศมีกายสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอันใด ?
นางเทพธิดาได้เล่าความเป็นมาในอดีตให้ท่านพระโมคคัลลานเถระฟัง แล้วกล่าวว่า ดิฉันเป็นผู้ไม่มีภัย แต่ที่ไหน ๆ บันเทิงอยู่ เพราะทานของท่านพระสารีบุตรโดยแท้ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันมาครั้งนี้ เพื่อจะไหว้ท่าน พระสารีบุตรผู้เป็นนักปราชญ์ ผู้มีความกรุณาในโลก
ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทํา เรื่องนั้นให้เป็นเหตุ ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้เข้าถึงพร้อมแล้ว เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชนมากมาย
** ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ หน้า ๒๐๙-๒๒๑ ธนปาลเปตวัตถุ แสดงอกุศลกรรม ที่นําเศรษฐีธนปาลไปสู่เปตภูมิ ความว่า สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติในนครเอรกัจฉะ ปัณณรัฐ เศรษฐีธนปาลกะ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่ เป็นนัตถิกทิฐิคือ ผู้มีความเห็นผิดว่าไม่มี เขาทํากาละแล้วบังเกิด เป็นเปรตในทะเลทราย มีร่างกายสูงประมาณลําต้นตาล มีผิวหนังหยาบมีปุ่มปูดขึ้นตามร่างกาย มีผมยุ่งเหยิง มีรูปพรรณน่าเกลียด ขี้เหร่น่าสพรึงกลัว เขาไม่ได้เมล็ดข้าวและหยาดน้ำมาตลอด ๕๕ ปี มีคอ ริมฝีปากและลิ้น แห้งผาก ถูกความหิวกระหายครอบงำ เที่ยวงุ่นง่านพล่านไปทางโน้นทางนี้
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถีบรรทุกสินค้าเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน ไปยังอุตตราปถชนบท เพื่อขาย สินค้า ในเวลาเย็นขบวนเกวียนเดินทางมาถึงแม่น้ำแห้งสายหนึ่ง จึงปลดเกวียนไว้ ณ ที่นั้น พักแรมอยู่ราตรีหนึ่ง
ลําดับนั้น เปรตผู้ถูกความหิวกระหาย เข้ามาหาเพื่อต้องการน้ำดื่ม เขาไม่ได้น้ำดื่มแม้สักหยาดเดียว ขาอ่อนล้มลงเหมือนตาลรากขาดฉะนั้น พวกพ่อค้าเห็นดังนั้น พากันถามว่า ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอมเห็นแต่กระดูกซี่โครง เพื่อนยาก ท่านเป็นใครกันหนอ ?
เปรตนั้นตอบว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตทุกข์ยาก เกิดในยมโลก ทํากรรมชั่วไว้ จึงจากโลกนี้ไป สู่เปตโลก พ่อค้าได้ถามถึงกรรมที่เปรตนั้นกระทํา เปรตนั้นเล่าว่า
เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐี อยู่ในนครเอรกัจฉะ ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า ธนปาลเศรษฐี ข้าพเจ้ามีเงิน ๘๐ เล่มเกวียน ทองคํา แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์มากมายเหลือที่จะนับ แม้ข้าพเจ้าจะมีทรัพย์มากมายถึงเพียงนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีศรัทธาที่จะให้ทาน ปิดประตูบริโภคอาหาร ด้วยคิดว่าพวกยาจกอย่าได้เห็นเรา ข้าพเจ้าเป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ได้บริภาษพวกยาจก และห้ามปรามมหาชนผู้ให้ทานและทําบุญด้วยคําว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่ง การสํารวมจักมีแต่ที่ไหน ข้าพเจ้าได้ทําลายสระน้ำ บ่อน้ำที่เขาขุดไว้ ทําลายสวนดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำ และ สะพานในที่เดินลําบาก ที่ชาวเมืองปลูกสร้างไว้ให้พินาศ ข้าพเจ้าทําแต่กรรมชั่ว จุติจากชาตินั้นแล้วเกิดในเปตวิสัย เพียบพร้อมด้วยความหิวกระหายตลอด ๕๕ ปี ตั้งแต่ตายแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่ได้กินข้าวและน้ำเลยแม้แต่น้อย
การสงวนทรัพย์ ตระหนี่ทรัพย์ เป็นความพินาศของสัตว์ทั้งหลาย เมื่อก่อนข้าพเจ้ามีทรัพย์อยู่ ก็ไม่ ให้ทาน เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ก็ไม่ทําที่พึ่งให้แก่ตน ข้าพเจ้าได้รับผลแห่งกรรมของตน จึงเดือดร้อนในภายหลังเช่นนี้
พ้นจากนี้ ๔ เดือนไปแล้ว ข้าพเจ้าจักตาย จักตกนรกอันเผ็ดร้อนสาหัส ในขุม ๔ เหลี่ยม ๔ ประตูที่ จําแนกเป็นห้องๆ ล้อมด้วยกําแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกนั้นล้วนแล้วด้วยทองแดง ลุกเป็นเปลวเพลิง ประกอบด้วยความร้อนแผ่ไปร้อยโยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าจักต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้น ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเศร้าโศกที่จักไปเกิดในนรกอันเร่าร้อนนั้น
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลายผู้มาประชุมกัน ณ ที่นี้ พวกท่านอย่าได้ทํากรรมชั่ว ในที่ไหน ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่แจ้งหรือเป็นที่ลับ ถ้าว่าพวกท่านจักกระทํา หรือกําลังกระทําความชั่ว แม้พวกท่าน จะเหาะหนีไปในที่ไหน ๆ ก็ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ขอท่านทั้งหลายจงเลี้ยงมารดา จงเลี้ยงบิดา ประพฤติอ่อนน้อม ต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะและพราหมณ์ ท่านทั้งหลายจักไปสวรรค์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้
พวกพาณิชเหล่านั้นได้สดับคําของเปรตนั้นแล้ว เกิดความสังเวชจึงเอาภาชนะตักน้ำดื่มมา ให้เปรตนั้น นอนลง กรอกน้ำเข้าปาก แต่น้ำที่มหาชนลาดลงหลายครั้ง ก็มิได้ไหลลงสู่ลําคอ เพราะพลังแห่งกรรมชั่วของเปรต พ่อค้าถามเปรตนั้นว่า ท่านได้ความโปร่งใจอันใดบ้างหรือไม่ ? เปรตนั้นตอบว่า น้ำมากมายมีประมาณถึงเพียงนี้ กรอกเข้าไปตลอดเวลาเพียงเท่านี้ แม้เพียงสักหยดเดียวก็ไม่เข้าไปในลําคอเรา กลับไหลสู่เข้าลําคอผู้อื่นไปหมด ความหลุดพ้นไปจากกําเนิดเปรต มิได้มีแก่เรา
พ่อค้าได้ฟังดังนั้น เกิดความสังเวชยิ่งนัก พากันกล่าวว่า ก็อุบายอะไร เพื่อระงับความกระหาย มีบ้างไหม ? เปรตตอบว่า เมื่อกรรมชั่วนี้สิ้นไป พวกญาติถวายทานแด่พระตถาคต หรือพระสาวกของพระตถาคต อุทิศทานให้แก่เรา เราก็จักพ้นจากความเป็นเปรตนี้ไปได้ พวกพ่อค้าได้ฟังดังนั้น มีความกรุณาจึงพากันไป กรุงสาวัตถี กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสรณคมน์และศีล ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ตลอด ๗ วัน แล้วอุทิศส่วนบุญแก่เปรตนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทําเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แล้วแสดงธรรมแก่บริษัท ๔ มหาชน ทั้งหลายละมลทินคือความตระหนี่ มีโลภะ เป็นต้น ได้เป็นผู้ยินดียิ่งในบุญ มีทานเป็นต้น ดังนี้แล