อบายภูมิ ๔ - นรกภูมิ

อบายภูมิ ๔ - นรกภูมิ

ปริยัติธรรม

หนังสือ สังสารวัฏ โดย สุรีย์ มีผลกิจ

นรกภูมิ ตั้งอยู่ภายใต้ผืนแผ่นดินแห่งชมพูทวีป เป็นภพภูมิที่มีแต่ความทุกข์ตลอดกาล เพราะเหตุที่ ประพฤติอกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ กายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ มโนทุจริต ๓ จึงได้มาบังเกิดในภพภูมินรกนี้

"" วรรณกรรมรัตนโกสินทร์ เล่ม ๒ หน้า ๕๓๔-๕๔๖ นิริยโลกกถา แสดงนรก ๘ ขุม คือ สัญชีพนรก กาฬสุตตนรก สังฆาตนรก โรรุวนรก มหาโรรุวนรก ตาปนรก มหาตาปนรก และอเวจีมหานรก ซึ่งเป็น นรกขุมใหญ่ นรกแต่ละขุม มีอุสสุทนรกเป็นบริวารชั้นใน ๑๖ ขุม มียมโลกนรกที่เป็นบริวารล้อมชั้น นอกอีก ๔๐ ขุม รวมทั้งหมดเป็นนรก ๔๕๖ ขุม

นรกขุมใหญ่ทั้ง ๘ ขุมนี้ มีสัณฐานสี่เหลี่ยมกว้างยาวและสูง ๑๐๐ โยชน์เท่ากัน แวดล้อมด้วยกำแพง เหล็ก ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกเหล่านั้นเป็นเหล็กเรืองแสง ประกอบด้วยความร้อน มีเปลวไฟตลอดเวลา มีประตูทั้งสี่ทิศ มีพญายมราชเป็นใหญ่ อยู่ทิศละองค์ นรกใหญ่แต่ละขุมมีพญายมราช ๔ องค์ อยู่ในทิศทั้ง ๔ พญายมราชแต่ละองค์ มีสิริคุตะอำมาตย์ของแต่ละองค์สำหรับอ่านบัญชีบาปกรรมแห่งสัตว์นรกทั้งปวง พญายมราช นั้นนับเข้าในจำพวกเวมาณิกเปรต เพราะบางเวลาได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเทวดา บางเวลาก็ต้องดูแลยมโลกนรก

 

สัญชีพนรก

สัญชีพนรก มีสัณฐานสี่เหลี่ยมดุจหีบ กว้างยาว ๑๐๐ โยชน์ มีพื้นและฝาผนังทั้งสี่ด้าน ฝาปิด เบื้องบนแล้วไปด้วยเหล็กหนา ๙ โยชน์ ประกอบด้วยนายนิรยบาลถือมืด พร้า และขวานถากขวานผ่า ศาสตราวุธ ต่างๆ คอยลับฟัน ทิ่มแทง ทุบตี ชำแหละเนื้อหนังแห่งสัตว์ทั้งปวงให้เหลือแต่ร่างกระดูก เหมือนบุคคลถากเปลือกไม้ เหลือไว้แต่แก่นไม้ สัตว์นรกทั้งหลายร้องไห้ร่ำไร ครวญครางด้วยเสียงอันพิลึก เมื่อตายแล้ว มีลมจำพวกหนึ่ง พัดมาให้ร่างกายฟื้น มีเลือดมีเนื้อคืนเป็นปกติดังเก่า ด้วยอำนาจของอกุศลกรรมที่ได้ทำมา เมื่อฟื้นขึ้นมาเห็นเพื่อน ก็โกรธขึ้งดุจเห็นข้าศึก เล็บมือก็กลายเป็นหอกดาบทิ่มแทง สับฟันกัน ร่างกายขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ตาย เกลื่อนกลาด ดุฟันต้นกล้วย ตายแล้วต้องลมเย็นก็กลับฟื้นขึ้นมาอีก ยมบาลที่ถือศาสตราอาวุธก็ไล่สะกัดข้างหน้า ข้างหลัง วิ่งมาข้างนี้ก็ร้องตวาด วิ่งหนีไปข้างโน้นก็กรูกันเข้าแวดล้อม ไล่ทิ่มแทงสับฟันแล่เนื้อเถือหนัง ด้วยอำนาจ แห่งกรรมที่เคยฆ่าสัตว์สองเท้าก็ดี สี่เท้าก็ดี ฆ่าเองก็ดี ใช้ผู้อื่นฆ่าก็ดี ครั้นทำลายกันอย่างนี้แล้ว ย่อมไปทน ทุกขเวทนาอยู่ในสัญชีวนรกขุมนี้ ๕๐๐ ปี นับปีในมนุษย์ได้ ๙ ล้านปี

นอกจากปาณาติบาตแล้ว บุคคลที่กระทำโจรกรรม ปล้นบ้านเรือน ข่มเหงรุกรานเอาที่บ้านที่เรือนที่นา ที่วัดวาอาราม กระทำให้คนพลัดพรากจากที่อยู่ที่กินก็ดี ยกเสนาโยธาไปกระทำศึกสงคราม ตีบ้าน ตีเมืองด้วย อำนาจพยาบาทก็ดี เป็นต้น เมื่อตายไปย่อมตกอยู่ในสัญชีพนรก ครั้นพ้นจากสัญชีพนรกแล้ว ก็ยังไปตกในขุมนรก บริวารอีก ๑๖ ขุมทุกขุม พ้นจากนรกแล้วบังเกิดเป็นเปรต ด้วยเศษแห่งกรรม พ้นจากเปรตไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ที่มีโรคมากหรืออายุสั้นรูปชั่ววิกลวิการ อินทรีย์ไม่บริบูรณ์ มีกำลังน้อย หาปัญญามิได้ ไม่มีผู้เอ็นดู กรุณา ด้วยอำนาจเศษบาปกรรมนั้นให้ผล

 

กาฬสุตตนรก

กาฬสุตตนรก ตั้งอยู่ภายใต้สัญชีพนรกลงไป มีสัณฐานสี่เหลี่ยม ความกว้างยาวเช่นเดียวกับ สัญชีพนรก สัตว์ที่มาบังเกิดในนรกขุมนี้ ถูกยมบาลทั้งหลายมัดด้วยพวนเหล็ก ผูกขึงไว้กับแผ่นเหล็ก อันเต็มไป ด้วยเปลวเพลิง แล้วเอาสายบันทัดเหล็กใหญ่เท่าลำตาลดีดลง ดีดข้างหลังก็แตกผ่าตลอดหน้า ดีดลงข้างหน้าก็แตก ออกตลอดหลัง ดีดข้างซ้ายก็แตกตลอดข้างขวา ดีดข้างขวาก็แตกออกข้างซ้าย กายนั้นแตกออกเป็นซีกน้อยซีกใหญ่ เพลิงที่แผ่นเหล็กนั้นก็ไหม้ย่อยยับเป็นจุณวิจุณ ตายแล้วก็กลับมาฟื้นคืนขึ้นมาอีก บางทีนายนิรยบาลก็จับมัดขึงไว้ ถากด้วยขวานดุจถากไม้ บางพวกถูกถากตั้งแต่เท้าถึงสะเอว บางพวกถูกถากจากสะเอวถึงต้นคอ บางพวกถาก สองขวาน นายนิรยบาลคนหนึ่งถากตั้งแต่กลางตัวลงไปข้างเท้า คนหนึ่งถากจากกลางตัวไปศีรษะ สัตว์นรกบาง พวกถูกนายนิรยบาลจับหันหน้าเข้าหากัน คนหนึ่งถากแต่เท้าขึ้นมา คนหนึ่งถากแต่ศีรษะลงไปบรรจบกันที่กลางตัว แห่งสัตว์นรก จะขะยับขะเยื้อนมิได้ ทนทุกขเวทนาแสนสาหัส จะหลบหลีกไปทางใดก็ไม่ได้ เพราะมีพวนเหล็กขึง ไว้ทั้งสี่ด้าน บางทีเหล่านายนิรยบาลก็พากันไล่ตะคอกจับตัว สัตว์เหล่านั้นก็พากันวิ่งพล่าน บนแผ่นเหล็กที่เป็น เปลวเพลิง เหยียบลงที่ใดเพลิงก็ติดเท้าขึ้นมา เพลิงนั้นก็ไหม้ลามต้นขาต้นแข้ง ทุกข์ทรมานยิ่งนัก ขณะนั้นแผ่น กระดานเหล็กอันใหญ่ ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงมากกว่าหมื่นกว่าแสน บังเกิดขึ้นจากแผ่นเหล็กใหญ่แผ่นนั้น มีเสียง ดังประดุจฟ้าลั่น เข้าผูกพันหุ้มห่อกายแห่งสัตว์นรกนั้นแน่น แล้วก็เผาหนัง เนื้อ เอ็นน้อยใหญ่ ทั่วทั้งร่างกาย นายนิรยบาลตามทัน บ้างก็แทง ฟัน สับ บ้างก็ทุบตีให้ล้มกลิ้งอยู่กับแผ่นเหล็ก ไหม้ท่วมเนื้อท่วมตัวควันเพลิงเข้าทาง จมุก ปาก ทวารหนัก ทวารเบา เผาปอดและม้าม ตับไตไส้พุงให้ขาดเป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ เผาเนื้อและเลือดให้แห้งไป ตราบถึงสมอง ตายแล้วก็กลับฟื้น ทนทุกข์ทรมานอยู่ในกาฬสุตตนรกประมาณ ๑,๐๐๐ ปี เป็นเวลานับได้ประมาณ ๓โกฏิกับ ๖๐ แสนปีในมนุษย์

ครั้นพ้นจากนรกขุมแล้ว กรรมยังไม่สิ้นก็ไปตกในอุสสทนรกทุกขุม พ้นจากอสสทนรกก็บังเกิดเป็น เปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน พันจากเดรัจฉานก็เกิดเป็นมนุษย์เข็ญใจไร้ทรัพย์ อายุสั้น ง่อยเปลี้ยเสียขา เตี้ยค่อม พิการต่างๆ โรคพยาธิก็เบียดเบียน มักพลัดพรากจากของที่รัก ด้วยเศษแห่งบาปที่ได้กระทำไว้นั้น ด้วยกำลังแห่ง โทสะ บางคราวผูกมัดเอง บางคราวให้ผู้อื่นผูกมัดสัตว์ที่มีชีวิต ด้วยเชือกหรือเครือเขา ก็จะถูกแถบเหล็กพืดหุ้มห่อ ตัว บุคคลบางคนไม่มีศีล นุ่งห่มไตรจีวรกระทำเหมือนผู้มีศีล ฉันบิณฑบาตมิได้พิจารณา ก็จะถูกพืดเหล็กหุ้มห่อตัว บางคนหาความกรุณาไม่ได้ ตัดตีนตัดมือ ตัดหูตัดจมูกผู้อื่น ก็ถูกถากด้วยพร้าและขวาน บางคนกล่าวเท็จ ก็ถูกดีด ด้วยสายบันทัดเหล็ก กายแตกเป็นซีกน้อยซีกใหญ่ บางคนเผาโพรงสัตว์ให้ถึงแก่ความตาย ควันเพลิงก็จะเข้าไปใน ทวารหนักทวารเบา จมูกปาก บุคคลที่ริษยาส่อเสียด หยาบช้าด่าว่าบิดามารดาก็ดี สมณะที่มิได้กระทำสมณธรม ฉันแล้วก็นอน เลี้ยงดูคฤหัสถ์เป็นบุตรภรรยาก็ดี สั่งสมทรัพย์ให้กู้ก็ดี กินเหล้าเมาสุราก็ดี ทำนาทำไร่ก็ดี ย่อมมา ตกอยู่ในกาฬสุตตนรก ทนทุกขเวทนาแรงกล้ามาก ดังนี้

 

สังฆาตนรก

สังฆานรก ตั้งอยู่ภายใต้กาฬสุตตนรก มีสัณฐาณดุจเดียวกัน ภายในนรกขุมนี้ดาดาษไปด้วย เปลวเพลิง ประกอบด้วยภูเขาเหล็กสูงตระหง่านอยู่ในเวหา ซอกภูเขาเต็มไปด้วยถ่านเพลิงอันร้อนร้าย สัตว์ในนรก นี้มีร่างกายพิกลพิการ ตัวเป็นคน ศีรษะเป็นกระบือ บางพวกตัวเป็นม้า ศีรษะเป็นคนเป็นต้น นายนิรยบาลทั้งหลาย เอาพวนเหล็กผูก แล้วตีด้วยไม้ตะบองเหล็ก ไม้ค้อนเหล็กที่เต็มด้วยเปลวเพลิง ขับให้วิ่งดุจโคกระบือ ด้วยผลของ อกุศลที่ทารุณสัตว์โบยสัตว์ เป็นต้น สัตว์เหล่านี้จะวิ่งหนีเข้าไปในระหว่างภูเขานรก ที่มีกองเพลิงอันใหญ่ขวางหน้าไว้ เสียงเปลวเพลิงดังดุจเสียงฟ้าลั่น สัตว์เหล่านี้มิอาจวิ่งฝ่าไปได้ พากันหันหลังกลับคืน ก็เกิดเพลิงกองใหญ่เกิดขึ้น ขวางหน้าอีก ในกาลนั้นภูเขานรกทั้งสองก็กลิ้งมาทับบดขยี้ สัตว์เหล่านั้นแหลกยับย่อย โลหิตแห่งสัตว์นรกนั้น ไหลไปดุจแม่น้ำด้วยอกุศลกรรมที่ทำไว้ในปางก่อน ที่หาความกรุณาสัตว์มิได้ ย่อมต้ม เผาสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย คบเพลิงบ้าง ใส่ครกโขลกบ้าง โยนลงในกระทะทรายร้อนๆ บ้าง โยนลงในเปือกตมให้จมน้ำตายบ้าง เหล่านาย พรานล่าเนื้อ ไล่เนื้อด้วยสุนัขบ้าง ให้สุนัขกัดเนื้อ กัดกระต่าย กัดแพะบ้าง ผู้นั้นย่อมต้องทนทุกข์อยู่ในนรกขุมนี้ นับได้ ๑,๐๐๐ ปี ในสังฆาตนรก แต่ละวันนับปีในมนุษย์ได้ ๑๔ โกฏิกับ ๔๐ แสนปีเป็นประมาณ

ครั้นพ้นจากสังฆาตนรกแล้ว ก็ยังไปตกในอุสสุทนรกบริวารอีก ๑๖ ขุมทุกขุม กรรมยังมิสิ้นพ้นจาก สังฆาตนรกก็ยังตกลงในกาฬสุตตนรก ตกในบริวารแห่งกาฬสุตตนรกและบริวาร หากกรรมยังไม่สิ้นก็ยังไปตกใน สัญชีพนรกและบริวารอีก พ้นจากนรก ด้วยเศษแห่งกรรม ยังต้องไปบังเกิดเป็นเปรต พ้นจากเปรตไปเกิดเป็นสัตว์ เดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ก็พิกลพิการ บ้า ใบ้ บอด หนวก มีโรคมาก หรืออายุสั้นด้วยอำนาจที่ตนกระทำผิด อันเป็นเศษบาปให้ผล

 

โรรุวนรก

โรรุวนรก นรกชั้นที่ ๔ อยู่ภายใต้สังฆาตนรก สัณฐานดุจเดียวกัน ภายในเต็มไปด้วยต้นบัวที่เป็น เหล็กนับแสน ดาดาษด้วยหนามอันหนา มีหนามมาก สัตว์นรกนั่งอยู่ในต้นบัวนั้นต้นละคนบางคนมีกายท่อนบนจม อยู่ในต้นบัวนรกเห็นแต่ท่อนล่าง บางคนเห็นแต่ท่อนศีรษะท่อนล่างจมอยู่ในต้นบัวเหล็ก บางทีเห็นเพียงสะเอว บางทีเห็นแต่มือครึ่งเท้าครึ่ง บางทีเห็นแต่เพียงครึ่งตัว แถบข้างหนึ่งจมอยู่ในต้นบัว เป็นต้น เปลวเพลิงใหญ่ท่วม ทับไปทั้งกาย แล้ววูบเข้าไปในทวาทั้ง ๙ เปลวเพลิงนั้นวูบเข้าไปในหูเบื้องขวา ออกไปทางช่องหูเบื้องซ้าย วูบเข้าช่อง หูเบื้องซ้ายออกเบื้องขวา วูบเข้าทางปากออกทางทวารหนัก วูบเข้าทางทวารหนักออกทางปาก สัตว์นรกนั้นได้รับ ทุกขเวทนาแสนสาหัส ร้องไห้ปริเทวนาการร่ำไรอยู่ที่ต้นบัวนรกนั้น นานนับ ๔,๐๐๐ ปี แต่ละวันในโรรุวนรกนั้นนับ ได้ ๕๗ โกฏิกับ ๖๐ แสนปี ในมนุษย์โลกนี้

ด้วยบาปอกุศลจากกาเมสุมิจฉจาร ที่ผิดลูกเมียผู้อื่นเศษกรรมนั้น ผู้หญิงที่นอกใจสามีก็ดี บุคคลที่ ด่าว่าตัดพ้อสมณพรหมณ์ก็ดี ย่อมมาตกอยู่ในนรกขุมนี้โดยนัยเดียวกันนี้

 

มหาโรรุวนรก

มหาโรรุวนรก นรกชั้นที่ ๕ อยู่ภายใต้โรรุวนรก สัณฐานดุจเดียวกัน ภายในแล้วไปด้วยเหล็กหนา ๙โยชน์ รุ่งเรืองไปด้วยเปลวเพลิง สีดุจดอกบัวแดง เต็มไปด้วยต้นบัวเหล็ก งอกขึ้นเนืองแน่นไม่มีระหว่าง มีหนาม อันมากแน่นหนา บัวแต่ละต้นมีสัตว์นรกอยู่ต้ละคน มีเปลวเพลิงติดขึ้นมาแต่เบื้องต่ำ บังเกิดจากแผ่นเหล็ก มีเสียงดังคึก ๆ เรืองโรจน์ขึ้นไปเผากายสัตว์นรกนั้นแดงไปทั่วกาย ดิ้นรนอยู่บนต้นบัวเหล็ก พลัดตกลงมา ก็ต้องศาสตราแห่งนายนิรยบาล ที่คอยแทงด้วยหอกและฉมวกอยู่เบื้องล่าง ตีด้วยไม้ค้อนเหล็กอันใหญ่ ทำลาย ศีรษะสมอง และกระดูกให้แหลกเหลวเรี่ยราดกระจัดกระจายไป ดุจกระแสน้ำในหม้อ อันบุคคลต่อยให้แตก เมื่อตายแล้วก็กลับพื้นขึ้นมาอีกสัตว์บางตนหนีไปตามกำแพงเหล็กหมายว่าจะได้พ้น ก็ถูกนายนิรยบาลไล่ติดตาม แล้วตีด้วยไม้ค้อนเหล็กใหญ่ จนกระดูกเหลวเป็นจุณวิจุณ เสวยทุกขเวทนาสิ้นกาลนานประมาณ ๔๐๐ปี นับปีใน มหาโรรุวนรก แต่ละวันในมหาโรรุวนรกนับปีมนุษย์ได้ ๒๓๐ โกฏิกับ ๔๐ แสนปี

สัตว์ในขุมนรกนี้บางจำพวกมีตัวเต็มไปด้วยควัน ควันนั้นอบเข้าไปในช่องหู ช่องตา ช่องจมูก ปาก ทวารหนัก ทวารเบาเผากายสัตว์นรกนั้นให้สุกดุจขนม ด้วยบาปอกุศลกรรมที่เป็นคนหยาบช้า หาความกรุณาสัตว์ มิได้ ย่อมใส่ไฟให้ควันไฟอบเข้าไปในปล่องหนู ปล่องงูเหลือม หรือโพรงตะกวดเป็นต้น แล้วถือศาสตราวุธจ้องอยู่ คอยทิ่มแทงทุบตีสัตว์อันทนควันมิได้ หนีออกมาให้สิ้นชีวิต บุคคลบางคนที่ลักก็ดี ย่อมมาสู่นรกขุมนี้ พ้นจาก มหาโรรุวนรกแล้ว ตกขุมที่เป็นบริวาร เศษบาปยังทำให้มาเกิดเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน เศษบาปยังไม่สิ้นก็ มาเกิดเป็นคนกำพร้าอนาถา หาที่พึ่งมิได้ ไร้ทรัพย์ อับปัญญาเพราะเศษแห่งกรรมนั้นอำนวยผล

 

ตาปนรก

ตาปนรก นรกชั้นที่ ๖ อยู่ภายใต้มหาโรรุวนรก สัณฐานดุจเดียวกัน ภายในแล้วไปด้วยเหล็กหนา ๙ โยชน์ สะพรั่งไปด้วยหลาวเหล็กจำนวนมาก หลาวแต่ละเล่มใหญ่เท่าลำตาล นายนิรยบาลย่อมจับเอาสัตว์นรก ทั้งปวงนั้นเสียบไว้บนหลาวเหล็ก ๒ เล่ม บ้าง ๓ เล่มบ้าง ดุจเนื้อเสียบไม้ย่างไว้บนถ่านเพลิง นอกจากนั้นไฟอันเกิด แต่แผ่นดินเหล็ก รุ่งโรจน์ขึ้นไปไหม้กายสัตว์นรกให้รุ่งเรืองด้วยเปลวเพลิง ให้สุกไปทั้งกาย เมื่อเนื้อในกายสุก สำเร็จแล้ว ประตูนรกทั้งหลายก็เปิดออกเองทั้ง ๔ ด้าน สุนัขตัวใหญ่เท่าช้างสาร มีฟันเป็นเหล็ก ก็แล่นเข้าไปตาม ประตูนรก กัดเนื้อสัตว์นรกนั้นกินเป็นอาหาร จนสิ้นเลือดสิ้นเนื้อ เหลืออยู่แต่ร่างกระดูก ตายแล้วมีลมนรกพัดมา เย็นๆ ให้พื้นมีเลือดเนื้อบริบูรณ์ขึ้นเหมือนเก่า นายนิรยบาลก็เอาเสียบไว้กับปลายหลาวเหล็กอีก สัตว์นั้นดิ้นรนสุดจะ ทานทน ในนรกขุมนี้ ๑๖,๐๐๐ปี ในตาปนรกนั้น แต่ละวันในตาปนรกนับได้ ๔๒๑ โกฏิกับ ๖๐ แสนปีในมนุษยโลก

ด้วยบาปอกุศลที่เคยได้จับเอาเนื้อและสุกร แพะ เป็นไก่มาเสียบด้วยหลาวเหล็กแล้วปิ้งทั้งเป็น บางที มัดแล้วโยนในกองไฟ ให้สุกแลกินเป็นอาหาร บุคคลบางจำพวกเผาป่า เผาอุทยานทำให้สัตว์มีชีวิตทั้งปวง พลอยตาย บางคนจุดเพลิงเผาบ้าน เผาเมือง เผานิคมชนบท กระทำให้คนและสัตว์ตาย ย่อมลงสู่นรกขุมนี้

ครั้นพ้นจากตาปนรกแล้ว กรรมยังไม่สิ้นก็ตกในขุมอื่นๆ ระขึ้นมาทุกขุม พ้นแล้วก็บังเกิดเป็นเปรต พ้นจากเปรตเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วเกิดเป็นมนุษย์ที่มีอายุน้อย โรคาพยาธิเบียดเบียนมาก เป็นคนอุบาทว์จัญไร ไร้ทรัพย์ อับปัญญา ด้วยเศษบาปนั้นติดตามให้ผล

 

มหาตาปนรก

มหาตาปนรก นรกชั้นที่ ๗ อยู่ภายใต้ตาปนรก สัณฐานดุจเดียวกัน ภายในประกอบด้วยภูเขา เหล็กอันใหญ่หลวงสูงเงื้อม น่าสะพรึงกลัว นายนิรยบาลถือเครื่องศาสตราวุธต่างๆ ไล่ทิ่มแทงทุบตี ต้อนสัตวนรก ให้เป็นขึ้น ปืนปายขึ้นไปบนภูเขาเหล็กใหญ่นั้น พอสัตว์นรกนั้นขึ้นไปถึงยอดเขาด้วยความกลัวเป็นกำลัง ก็มีลมนก เป็นพายุใหญ่พัดมาโดยรอบ ลมนรกนั้นพัดแรงกล้า เหลือกำลังที่สัตว์เหล่านั้นจะทรงตัวอยู่บนภูเขานั้นได้ สัตว์นรก นั้นต้องกลับศีรษะลงเบื้องต่ำ จนตกลงจากยอดเขา ตกลงมายังไม่ถึงดิน หลาวเหล็กอันใหญ่เท่าลำตาล ก็ผุดขึ้น ดาษดื่น คอนรองรับเสียบกายสัตว์นรกเหล่านั้น ตั้งแต่ศีรษะตลอดทางทวาร ๒ เล่ม ๓ เล่ม ๔ เล่ม ๕ เล่ม ก็มี หลาวแต่ละเล่ม ล้วนแต่เป็นเปลวเพลิง เผาเนื้อเผาเลือด เพลิงที่แผ่นดินเหล็กนั้น ไหม้จากภายนอกตัวเข้าไป ไฟภายในกับไฟภายนอกไหม้กระทบกัน ทนทุกขเวทนาอยู่ช้านานประมาณกึ่งอันตรกัป

คัมภีร์ชินาลังกาฎีกกหน้า ๑๑๗ อริบายไว้ว่า จำเดิมแต่มนุษย์ทั้งหลาย มีอายุ ๑๐ปี และอายุเจริญขึ้นจนถึงอสงไขย จวบจนอายุถอยลงมาจนอายุ ๑๐ ปีอีก นั้นได้ชื่อว่า อันตรกัป ๑

สัตว์เหล่านั้นอยู่ในนรกขุมนี้ ด้วยบาปอกุศลแต่ปางก่อนที่เคยเป็นท้าวพญา มหาอำมาตย์ ที่มีจิตใจ ร้ายกาจหยาบช้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เสียบสัตว์มีชีวิตด้วยหลาวเหล็กแล้วทุ่มไปในกองเพลิง บางทีก็มัดย่างไว้กับแดด ให้ตายในแดด อาศัยผลกรรมอันนี้ จึงมาทนทุกข์ทรมานอยู่กับหลาวเหล็กในหาตาปนรกนี้ ครั้นพ้นจากนรกขุมนี้ ก็ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน พ้นจากนั้นเศษแห่งกรรม ก็จะมาบังเกิดเป็นคนชั่ว วิกลวิกาล เสียหู เสียตา เป็นง่อยเปลี้ย เป็นคนกำพร้าอนาถา โรคาพยาธิเบียดเบียน พลัดพรากจากคนที่รัก เป็นคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ด้วยอำนาจของบาปกรรมที่ทำไว้แล้วนั้นให้ผล

 

อเวจีมหานรก

อเวจีมหานรก นรกชั้นที่ ๘ ตั้งอยู่ภายใต้มหาตาปนรก สัณฐานเช่นเดียวกับนรกทุกชั้น พื้นและ ฝาปิดนั้นก็แล้วด้วยเหล็กหนาได้ ๔ โยชน์เท่ากัน ภายในอเวจีมหานรกนั้น รุ่งเรืองด้วยเปลวเพลิงทั้งกลางวันและ กลางคืน สัตว์ในอเวจีมหานรกแต่ละตน ถูกเสียบด้วยหลาวเหล็กตั้งแต่ ๔ เล่ม ถึง ๑๐ เล่ม จนมิอาจไหวกายได้ บางจําพวก ถ้ายืนก็จะยืนขึงอยู่ตราบสิ้นอายุ ถ้านั่งก็จะนั่งขึงอยู่ตราบเท่าชีวิต ถ้านอนก็จะอยู่ในสภาพนอนขึงอยู่ ตราบเท่าชีวิต เพลิงนั้นจะไหม้ไปทั่วทั้งร่างกาย ทนทุกขเวทนาแสนสาหัส จะตายก็มิตาย ด้วยอกุศลกรรมรักษาไว้ สัตว์นรกบางจําพวกหลุดพ้นออกจากหลาวเหล็ก เห็นประตูนรกในทิศต่างๆ เปิดออก ก็เข้าใจว่าตนจะได้พ้นจากทุกข์ พากันกรูวิ่งไปที่ใกล้ประตู ประตูนั้นก็ปิดเข้าดังเดิม ต่างพากันร้องครวญครางดิ้นรน ทนทุกขเวทนาอยู่นานยิ่งนัก มีกําหนดได้วิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป ๑ อธิบายว่า กาลที่นับตั้งแต่เกิดขึ้นแห่งดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ไปจนถึงกาลที่ มหาเมฆล้างกัป ที่เรียกว่า วิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป ๑

ท่านแสดงผลแห่งกรรมที่ทําให้สัตว์มาบังเกิดในอเวจีนี้ว่ า ปางก่อนได้ประพฤติผิดศีล ๕ ประการ คือ

๑. กระทําปาณาติบาตเป็นเนืองนิตย์ เป็นชาวประมง ล่าสัตว์ จับสัตว์โยนเข้ากองไฟ ทําหน้าที่ฆ่าโจร เป็นต้น กระทําอทินนาทานเป็นอาจิณกรรม กระทํากาเมสุมิจฉาจาร กล่าวมุสาเป็นอาจิณกรรม ส้องเสพสุราเมรัย เป็นอาจิณกรรม คนเหล่านี้ย่อมตกลงในอเวจีมหานรกทั้งสิ้น

๒. นอกจากนั้นบุคคลที่เป็นใหญ่ มิได้ตั้งอยู่ในความยุติธรรม มากไปด้วยโลภะเจตนา ย่อมเที่ยวไป ตีบ้าน ตีบ้านเมือง กระทําศึกสงคราม บังคับให้ชนทั้งหลายรบราฆ่าฟันกัน ใช้หอกดาบทิ่มแทง ขวานฟัน เผาบ้านเผาเมือง เพื่อชัยชนะ กระทําให้ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก ย่อมตกอยู่ในอเวจีมหานรกนี้

๓. บุคคลที่ประทุษร้ายแก่ผู้ที่ประกอบด้วยศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ แห่งท่านที่ได้คุณธรรมวิเศษ มีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ เหมือนพระเทวทัตกลิ้งหินกระทําพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ห้อพระโลหิต ย่อมตกอยู่ในอเวจีมหานรกนี้ ท่านกล่าวว่ากายแห่งพระเทวทัตนั้นสูง ๑๐๐ โยชน์ เท้าทั้งสอง จมลงในแผ่นดินเหล็กเพียงข้อเท้า ศีรษะอยู่ในฝาปิดเบื้องบนเพียงใบหูทั้งสอง หลาวเหล็กใหญ่เท่าลําตาลตรึงไว้ โดยรอบ มิอาจไหวติงกายได้ พระเทวทัตยังหมกไหม้อยู่ในอเวจีตราบเท่ากาลทุกวันนี้

๔. มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓/๒ เทวทูตสูตร หน้า ๑๙๗-๒๐๔ กล่าวถึงอเวจีมหานรกว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในอเวจีมหานรก ที่มี ๔ มุม ๔ ประตู แบ่งไว้เป็นส่วน ๆ เท่ากัน มีกําแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบด้วยฝาเหล็ก พื้นของนรกใหญ่นั้นล้วนแล้วด้วยเหล็ก ลุกโพลงอยู่ด้วยไฟอเวจี แผ่ออกไปตลอดร้อยโยชน์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อเวจีมหานรกนี้มีเปลวไฟที่...

พลุ่งจากฝาด้านหน้า จรดฝาด้านหลัง
พลุ่งจากฝาด้านหลัง จรดฝาด้านหน้า
พลุ่งจากฝาด้านทิศเหนือ จรดฝาด้านทิศใต้
พลุ่งจากฝาด้านทิศใต้ จรดฝาด้านทิศเหนือ
พลุ่งจากพื้นเบื้องล่าง จรดฝาด้านบน
พลุ่งจากฝาด้านบน จรดพื้นเบื้องล่าง

สัตว์นั้นเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าบาปยังไม่สิ้นสุด

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บางครั้งบางคราวโดยระยะกาลอันยาวนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิด สัตว์เหล่านั้นจะพากันรีบวิ่งไปทางประตูนั้นโดยเร็ว สัตว์นั้นย่อมถูกไฟไหม้ผิวไหม้หนังไหม้เนื้อ ไหม้เอ็นแม้กระดก ทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จักกลับคงรูปเดิมทันที ขณะที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตูๆ นั้นจะปิดลง โดยกาลล่วงไปยาวนาน ประตูด้านหลัง ประตูด้านเหนือ ประตูด้านใต้เปิดสัตว์นั้นจะวิ่งกรูกันออกไป เมื่อสัตว์ใกล้ถึงประตูเหล่านั้นก็ปิดลง สัตว์นั้นย่อมเสวยทุกขเวทนาเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้น และยัง และยังไม่ตายจนกว่าบาปกรรมนั้นจะสิ้นสุด

แม้ว่าสัตว์จะหนีออกทางประตูนั้นได้ ก็ยังมีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลง ในนรกคูถที่หมู่สัตว์มีปากแหลมดังเข็ม คอยเฉือดเฉือนผิว เฉือดเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อในกระดูก สัตว์นั้น ย่อมเสวยเวทนาเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกคูถนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย และนรกคูถนั้น มีนรกเต็มด้วยเถ้ารึง คือถ่านที่ติดไฟคุ ไหม้ระอุอยู่ข้างใน มีขี้เถ้าปิดข้างนอกอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในนรกเถ้ารึง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาเป็นทุกข์กล้า ในนรกเถ้ารึง นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ๆ

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย นอกจากนั้นมีป่างิ้วใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน ลําต้นสูงชลูดขึ้นไป ๑ โยชน์ มีหนามยาว ๑๖ องคุลี มีไฟติดทั่วลุกโพลงโชติช่วง เหล่านายนิรยบาลจะบังคับให้สัตว์นั้นขึ้น ๆ ลงๆ ที่ต้นงิ้วนั้น เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และป่างิ้วนั้น มีป่าต้นไม้ใบเป็นดาบใหญ่ ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะเข้าไป ในป่านั้นก็จะถูกใบไม้ที่ลมพัดตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง ตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบหูและ จมูกบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในป่าที่ต้นไม้มีใบเป็นดาบนั้น และยังไม่ตายตราบ เท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ป่าต้นไม้ที่มีใบเป็นดาบนั้น มีแม่น้ำใหญ่เป็นน้ำด่าง ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้น จะตกลงไปในแม่น้ำนั้น จะลอยอยู่ในแม่น้ำนั้น ตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง ทั้งตามทั้งทวนกระแสบ้าง สัตว์นั้น ย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในน้ำด่างนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลพากันเอาเบ็ดเกี่ยวสัตว์นั้นขึ้นมาวางบนบก แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อมหาจําเริญ เจ้าต้องการอะไร เมื่อสัตว์นั้นตอบว่า ข้าพเจ้าหิว เจ้าข้า เหล่านายนิรยบาลจะเอาขอเหล็กร้อน มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออกแล้วใส่ก้อนโลหะร้อน มีไฟติดทั่ว ลุกโพลงเข้าไปในปาก ก้อนโลหะนั้นจะ ไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้าง ท้องบ้างของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลกล่าวกับสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อน พ่อมหาจําเริญ เจ้าต้องการ อะไร สัตว์นั้นตอบว่า ข้าพเจ้าระหาย เจ้าข้า เหล่านายนิรยบาลจะเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออก แล้วเอาน้ำทองแดงที่ร้อน มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วงกรอกเข้าไปในปาก น้ำทองแดงนั้นจะไหม้ ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้าง ท้องบ้างของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้างออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้น ย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด เสร็จแล้ว เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรกอีก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เรื่องนี้เรามิได้ฟังจากสมณะหรือพราหมณ์ แล้วจึงบอก เราได้บอกเรื่องที่เรา รู้เอง เห็นเอง ปรากฏด้วยตนเองทั้งนั้น ครั้นแล้วได้ตรัสคาถาประพันธ์ว่า

นรชนเหล่าใด ยังเป็นมาณพ อันเทวทูตตักเตือนแล้ว ยังประมาทอยู่
นรชนเหล่านั้น จะเข้าถึงหมู่สัตว์นรก เศร้าโศกสิ้นกาลนาน
ส่วนนรชนเหล่าใดเป็นสัตบุรุษ อันเทวทูตตักเตือนแล้ว
ย่อมไม่ประมาทในธรรมของพระอริยเจ้า ในกาลไหน ๆ

** โลกบัญญัติ หน้า ๖๘-๘๓ แสดงถึงอกุศลกรรมของบุคคลที่ตกลงในอเวจีมหานรก ได้แก่

๑. บุคคลกระทําอนันตริยกรรม ๕ ประการ คือ ปิตุฆาต ฆ่าบิดา ๑ มาตุฆาต ฆ่ามารดา ๑ อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๑ โลหิตุปบาท กระทําให้เลือดห้อบังเกิดขึ้นในพระวรกายพระพุทธเจ้า ๑ และ สังฆเภท กระทําให้สงฆ์ แตกจากกันตั้งแต่ฝ่ายละ ๔ รูปขึ้นไป ๑ บุคคลเหล่านี้สิ้นชีวิตแล้ว ย่อมลงไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในอเวจีมหานรกนี้

๒. บุคคลผู้ถือเอาสิ่งของแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้าก็ดี เป็นผู้ถือมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิด คือนับถือลัทธินอกศาสนาก็ดี คนเหล่านี้ย่อมตกอยู่ในอเวจีมหานรก สําหรับมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดจาก ทํานองคลองธรรม ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิที่ไม่เชื่อในเหตุ ไม่เชื่อในผล ไม่เชื่อทั้งเหตุทั้งผลนั้น บางทีก็ตกในมหาตาปนรก ก่อน ทนทุกขเวทนาจนสิ้นอายุในมหาสาปนรกแล้ว จึงไปสู่อเวจีมหานรก สิ้นอายุจากอเวจีมหานรกแล้ว ก็ไปตก ในโลกันตนรก บางทีก็ตกในอเวจีมหานรกก่อน ภายหลังจึงไปตกในโลกันตนรก

อีกประการหนึ่ง สัตว์ที่กระทํากรรมหยาบช้าแสนสาหัส เป็นต้นว่า ผูกมัด ตีโบย สับ ฟันสมณะและ พราหมณ์ผู้มีคุณธรรมก็ดี ทําการเผาพระสถูปเจดีย์ ดังพญาโจรนาค และอภยโจรที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์มหาวงศ์ ก็ดี สัตว์เหล่านี้ก็ยังมิอาจพ้นจากทุกข์ในมหานรกอเวจีดังกล่าวแล้วได้ อกุศลกรรมนั้นจะบังเกิดลมพายุใหญ่ พัดพา หอบเอาไปไว้ในจักรวาลอื่นที่ยังไม่พินาศ ทนทุกข์ทรมานต่อไปอีกจนกว่าจะสิ้นบาปอกุศลกรรมนั้น

** อรรถกถาจารย์วิสัชนาไว้ในสังยุตตนิกาย สารัตถุปกาสินี ตติยภาค เล่ม ๑๗ หน้า ๓๗๗- ๓๘๓ คามณิสังยุตต์ว่า บุคคลทั้งปวงอันล่อลวงสัตว์โลกให้ลุ่มหลงด้วยฟ้อนรํา และถ้อยคําเหลาะแหละ เหลวไหล ไร้สาระไม่เป็นประโยชน์ เมื่อสิ้นชีวิตลงแล้ว ย่อมไปตกอยู่ข้างหนึ่งแห่งอเวจีมหานรก ทนทุกขเวทนาสาหัสสากรรจ์ อาการที่ร้องครวญครางและวิ่งเต้นไปมาด้วยทนเพลิงไหม้มิได้นั้น ดุจดังอาการที่ฟ้อนรําล่อลวงสัตว์โลก ให้ลุ่มหลง ฉะนั้น เป็นเช่นนี้จนกว่าจะสิ้นอายุจักรวาล คราวที่โลกพินาศด้วยเพลิงประลัยกัลป์ ด้วยน้ำประลัยก้ลป์ และ ด้วยลมประลัยกัลป์

การอุบัติขึ้นของสัตว์นรกทั้งหลาย จะเกิดในอุปปาติกะกําเนิดอย่างเดียว คือเกิดแล้วโตทันที สัตว์นรก จะมีรูปร่างกายต่างกัน สัณฐานวรรณะใหญ่น้อยดําแดงต่างกัน วิกลวิปริตก็ต่างกัน พึงทราบว่าสัตว์ที่มีโทษ มากโทษ หนักนั้น ตกอยู่ในขุมใหญ่ขุมใดขุมหนึ่ง แล้วก็ตกในอุสสุทนรก นรกอันเป็นบริวารที่มี ๑๒๘ ขุม ตามลําดับออก ไปตามแต่บาปกรรมที่ได้กระทํามา จากนั้นเศษแห่งกรรมก็ไปบังเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือโทษ น้อย กรรมเบาบางก็ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ไม่สมประกอบ เสียหู เสียตา เป็นง่อยเปลี้ย เป็นคนกําพร้าอนาถา มีโรค เบียดเบียน เป็นคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ พลัดพรากจากคนที่รักใคร่ ด้วยอํานาจเศษบาปกรรมที่ตนได้กระทําไว้

** คัมภีร์มหาวังสะ พระบาลีตรัสไว้ว่า อบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน อายุการให้ ผลของกรรมไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับกรรมที่ผู้กระทําว่าหนักเบาเพียงไร อรรถกถากล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระยายมราชได้มีความดําริอย่างนี้ว่า เหล่าสัตว์ที่ทํากรรมอันลามกไว้ในโลก ย่อมถูกนายนิรยบาลลงทัณฑ์ต่างชนิดเห็นปานนี้ โอหนอ ขอเราจึงได้ความเป็นมนุษย์ ขอพระตถาคตสัมมา สัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ขอเราจึงได้นั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ นั้นพึงทรงแสดงธรรมแก่เรา และขอเราพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเถิด

 

นรกใหญ่ ๔ ขุม

ในที่นี้ผู้เรียบเรียงขออนุญาตที่จะไม่สาธยายอุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม ที่เรียงรายรอบนรกขุมใหญ่ ๘ ขุม และยมโลกนรกที่เป็นบริวารล้อมชั้นนอกอีก ๔๐ ขุม ซึ่งรวมนรกใหญ่น้อยแล้วมีถึง ๔๕๖ ขุม ขอให้ผู้ที่ใคร่ ศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลได้จากวรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เล่ม ๒ กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๕ จากคัมภีร์ชินาลังการฎีกาแปล ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มูลนิธิพร รัตนสุวรรณจัดพิมพ์ หน้า ๑๑๘-๑๒๓ และในนิรยโลกกถา หน้า ๕๒๒-๕๔๓

 

โลกันตนรก

โลกันตนรก เป็นนรกอีกขุมหนึ่ง นอกเหนือจากนรกขุมใหญ่ ๘ ขุม และนรกอื่น ๆ อีก ๔๕๖ ขุม ดังกล่าวแล้ว โลกันตนรกนี้ตั้งอยู่ในระหว่างแห่งจักรวาลทั้งสาม คือจักรวาลประชุมกันเป็นสามเส้า ณ สถานที่ใด ช่องว่างในระหว่างจักรวาลทั้งสาม คือภพภูมิโลกันตนรก อรรถกถาอัจฉริยัพภูตสูตร อธิบายว่า โลกันตนรกขุมหนึ่ง อยู่ในระหว่างจักรวาลทุก ๓ จักรวาล เปรียบเหมือนช่องว่างในท่ามกลางของล้อเกวียน ๓ ล้อ หรือบาตร ๓ ใบ ซึ่งจรดกันตั้งอยู่ โลกันตนรกมีปริมาณ ๘,๐๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่ ณ บริเวณนั้น เปิดโล่งอยู่เป็นนิตย์ แม้เบื้องล่างก็ไม่มีที่ เหยียบยืน ตรงจากโลกันตนรกขึ้นไป จะได้มีวิมานเทวบุตรเทวธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง ลอยอยู่บนอากาศแต่สักวิมาน เดียวก็หามิได้ ณ ที่นั้นจะเป็นช่องว่างเปล่าขึ้นไป ตลอดถึงอัชฎากาศเบื้องบน แสงพระจันทร์พระอาทิตย์ก็มิได้ ส่องข้ามขอบจักรวาลเข้าไปได้ ไม่มีแม้รัศมีอันใดส่องให้สว่างเลยแม้น้อย สัตว์ในโลกันตนรกนั้นเกาะเชิงเขาจักรวาล แขวนตัวอยู่ดุจค้างคาวแขวนตัวอยู่บนต้นไม้ เมื่อไต่ไปไต่มาพบกันเข้า ก็สําคัญว่าเป็นอาหาร ปรารถนาจะกินกันจึง ต่อสู้ปล้้ำกันไปมาอยู่ในความมืด ต่างพลัดตกลงในน้ำรองแผ่นดิน ซึ่งมีความเย็นหนักหนา ด้วยอํานาจแห่งกรรม บันดาลให้น้ำนั้นเป็นดุจน้ำกรด สังหารกายสัตว์เหล่านั้นให้ย่อยยับเป็นจุณวิจุณไป ดุจก้อนแป้งที่ทิ้งลงน้ําแล้วละลาย ทันที เมื่อกรรมยังไม่สิ้นก็กลับเป็นรูปกายฟื้นขึ้นอีก ห้อยตัวทนทุกข์ทรมานอยู่จนกว่าจะสิ้นอายุจักรวาล

โลกันตนรกนั้นมืดมนนักหนา มีความมืดอยู่เป็นนิจกาล แม้ขณะเมื่อพระโพธิสัตว์ เสด็จลงสู่ปฏิสนธิ ในพระครรภ์พระพุทธมารดา เป็นต้นนั้น แสงสว่างที่ปรากฏทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุถึงเพียงนั้น ก็ปรากฏในโลกันตนรก เพียงลัดนิ้วมือเดียว เหมือนสายฟ้าแลบ แล้วก็กลับมืดมิดดังเดิม สัตว์ผู้ได้มาบังเกิดในโลกันตนรกนี้ ท่านกล่าวว่า ผู้ถือมั่นด้วย นิยตมิจฉาทิฏฐิ ย่อมไปเกิดในมหาสาปนรกก่อน แล้วจึงไปสู่อเวจีมหานรก จากนั้นจึงออกไปทน ทุกขเวทนาในโลกันตนรก สัตว์เหล่านี้มีรูปกายสูง ๓๐๐ เส้น มีเล็บอันยาว เกาะเชิงเขาจักรวาล แขวนตัวอยู่ดุจดัง ค้างคาวแขวนตัวอยู่บนต้นไม้ ฉะนั้น

** ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เล่ม ๑ ภาค ๔ อรรถกถาปฐมสีลสูตร หน้า ๒๐๐ และในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๔๙๐-๔๙๑ สัลเลขสูตร แสดงเรื่อง นิยตมิจฉาทิฏฐิ ว่า

ผู้ประกอบด้วย นิยตมิจฉาทิฏฐิ ได้แก่ทิฏฐิพิเศษ ๓ ประการ คือ
อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นผิดที่ไม่เชื่อในเหตุ เห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย
นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นผิดที่ไม่เชื่อในผล เห็นว่าการทําบุญให้ทานไม่มีผล เป็นต้น
อกิริยทิฏฐิ ความเห็นผิดที่ไม่เชื่อทั้งเหตุและผล

ทิฏฐิ ๓ ประการนี้ ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้มิได้สดับพระสัทธรรมของพระพุทธองค์ บุคคลผู้ประกอบ ประกอบด้วยทิฏฐิและศีลอันลามก ย่อมเป็นผู้อันกรรมซัดไปในนรก เหมือนถูกนําไปทิ้งลง ฉะนั้น

**อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้า ๑๙๕-๑๙๖ อรรถกถาสูตร ๓ กล่าวว่า อนันตริยกรรม ชื่อว่าเป็นกรรมมีโทษมากที่สุด แต่ทว่ามิจฉาทิฏฐิยังมีโทษมากกว่านั้น เพราะอนันตริยกรรม ๔ เหล่านั้นนําให้เกิดในนรกก็จริง ก็ยังมีเขตกําหนดที่สุดของโทษ แม้สังฆเภทก็เป็นกรรมตั้งอยู่ในนรกชั่วกัปเท่านั้น ส่วนนิยตมิจฉาทิฏฐิเป็นความเห็นผิดอันจมดิ่ง ไม่มีเขตกําหนดเพราะ มิจฉาทิฏฐิเป็นรากเหง้าของวัฏฏะ การออกไป จากภพ ย่อมไม่มีสําหรับบุคคลผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐิ ทั้งสวรรค์และมรรคก็ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ประกอบ ด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐิ เช่นเดียวกัน

ในคราวที่กัปพินาศ เมื่อมหาชนพากันไปเกิดในพรหมโลก บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้ไปเกิดใน พรหมโลกนั้น แต่กรรมชัดพาไปเกิดที่หลังจักรวาล ท่านกล่าวว่าก็เมื่อหลังจักรวาลแม้จะถูกไฟไหม้อยู่ บุคคลผู้เป็น นิยตมิจฉาทิฏฐินี้ ก็ถูกไฟไหม้อยู่ในโอกาสแห่งหนึ่งในอากาศ

แม้จักรวาลทั้งหลายจะพินาศด้วยเพลิงประลัยกัลป์ น้ำประลัยกัลป์ ลมประลัยกัลป์แล้วก็ดี บุคคล ผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ จะพ้นจากทุกข์ก็หามิได้ อกุศลกรรมนั้นบังเกิดเป็นพายุลมใหญ่ พัดหอบเอาไปไว้ไหม้อยู่ใน จักรวาลอื่น นอกออกไปกว่าแสนโกฏิจักรวาล ที่เพลิงยังไหม้มิถึง


พิมพ์