ปริยัติธรรม
หนังสือ พระพุทธวจนะ คาถาธรรมบท จาก...พระไตรปิฎก
สหสุสมปี เจ คาถา อนตฺถปทสญฺหิตา เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ
คาถาตั้งพันคาถา แต่ไม่ประกอบด้วยเนื้อความที่เป็นประโยชน์ ก็เทียบ กับคาถาที่มีประโยชน์คาถาเดียวไม่ได้ เพราะฟังแล้วสงบระงับกิเลสได้
ชายผู้นำเปลือกไม้มานุ่งห่ม คนนับถือมากจนหลงตนว่าเป็นอรหันต์ ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า บรรลุพระอรหัตแล้วปรินิพพาน
เรือโดยสารลำหนึ่งอับปางลงในมหาสมุทร ชายคนหนึ่ง ว่ายน้ำขึ้นที่ท่าเรือสุปปารกะในสภาพ ร่างกายเปลือยเปล่า เขาจึงใช้เชือกปอผูกร้อยท่อนไม้แห้งเล็กๆ แล้วทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หิวแล้วก็ถือกระเบื้องจากเทวสถานออกไปขออาหารที่ท่าเรือ มหาชนเข้าใจว่าเขาเป็นพระอรหันต์ จึงให้ยาคูและอาหารต่างๆ เขาคิดว่าถ้าเรามุ่งห่มผ้าก็จะไม่มีใครให้ลาภสักการะแก่เรา เขาจึงนุ่งห่มอย่างนั้น ต่อมาก็นํา เปลือกไม้ (ทารุจีริย) มาทําเป็นเครื่องนุ่งห่ม คนก็เลื่อมใสเขา จนเขาคิด ว่าเขาเป็นพระอรหันต์แล้วจริงๆ
จนวันหนึ่งมี อนาคามีพรหม ผู้เคยบวชเป็นภิกษุสหายกันในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะมา บอกเขาว่า พาหิยะ ท่านยังไม่ใช่พระอรหันต์หรอก (ชื่อพาหิยะจึงเป็นชื่อเก่าตั้งแต่สมัยเป็นภิกษุ) ท่านไม่รู้ปฏิปทาเพื่อเป็นพระอรหันต์ด้วย, พาหิยะถามว่า “ แล้วตอนนี้ในโลกมีพระอรหันต์หรือ ผู้บรรลุอรหัตตมรรคอยู่หรือ?” ตอบว่า “ตอนนี้โลกมีพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ประทับอยู่ชนบททางเหนือคือพระนครสาวัตถี”
พาหิยะมีใจสลด เชื่อฟังคําของพรหม รีบเดินทางไกล ๑๒๐ โยชน์ โดยพักอยู่เพียงคนเดียว (= ออกเดินทางในเวลาเย็นทันทีหลังคุยกับพรหม มืดแล้วก็หยุดเดินทาง สว่างก็เดินทางต่อ) ก็ถึง กรุงสาวัตถี (พระเชตวัน) แล้วถามหาพระพุทธเจ้ากับพวกภิกษุผู้ฉันอาหารเช้าแล้ว, ตอบว่า กําลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ในกรุงสาวัตถี ท่านว่าพาหิยะมาถึงเร็วเพราะอานุภาพของเทวดา แต่อาจารย์ บางพวกว่าเพราะพุทธานุภาพ เขาไม่รอ รีบเดินเข้าไปในกรุงสาวัตถี พบพระพุทธเจ้าขณะเสด็จ อยู่ที่ถนน เขาเกิดปีติรำพึงว่า “นานจริงหนอ กว่าเราจะได้เห็นพระโคตมสัมมาสัมพุทธะ” รีบตรงเข้ามาไหว้และจับข้อพระบาทกราบทูลขอให้ทรงแสดงธรรม ทรงเห็นว่าเขามีปีติมาก ทั้งยังเหน็ดเหนื่อยกาย จึงตรัสห้าม ๒ ครั้งว่าไม่ใช่เวลาแสดงธรรม เมื่อเขาวิงวอนเป็นครั้งที่ ๓ จึงทรง แสดงธรรมว่า “พาหิยะ เธอพึงศึกษาว่า เมื่อใดเห็นรูป (ด้วยตา) แล้ว ก็เป็นเพียงเห็น....(ไม่มีเรา เข้าไปเกี่ยวข้อง)”
เขาบรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา ๔ ทูลขอบวช ตรัสให้เขาไปหาบาตรและจีวรมา ให้ครบก่อนแล้วค่อยไปหาเรา (ท่านว่า ทรงรู้ว่าเขาไม่เคยสงเคราะห์ภิกษุด้วยบาตรและจีวรมาก่อน จึงไม่ประทานการบวชด้วยเอหิภิกขุ เพราะบาตรและจีวรที่เกิดจาก (บุญ) ฤทธิ์จะไม่มี), ระหว่างที่เขาแสวงหาผ้าอยู่นั้น ก็มีนางยักษ์แปลงเป็นแม่โคนมขวิดตายอยู่ข้างกองขยะ, พระศาสดาเสด็จกลับมาพบศพ ทรงให้ภิกษุไปยืนอยู่หน้าประตูเรือนหลังหนึ่ง (ยืนเพื่อให้คนในเรือนออกมา ถามว่าต้องการอะไร) ได้เตียงมาแล้วนําสรีระของท่านนอนแล้วนําออกจากกรุงไปเผานอกนคร และทําสถูปเก็บอัฐิไว้...
เมื่อพวกภิกษุทํากิจทั้งหมดตามพระพุทธบัญชาแล้วมาเข้าเฝ้าทูลถามภพหน้าของท่าน พาหิยะ? ตรัสว่า พาหิยะปรินิพพานแล้ว และยกย่องว่า เป็นเอตทัคคะด้านขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ เร็ว) ภิกษุทั้งหลายถามว่า เขาฟังธรรมกลางถนนที่ทรงแสดงเพียงเล็กน้อย บรรลุคุณวิเศษได้ อย่างไรหนอ? ตรัสว่า “พวกเธอจงอย่านับว่าธรรมมากหรือธรรมน้อยเลย พันคาถาถ้าไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ประเสริฐเมื่อเทียบกับคาถาแม้เพียงบทเดียวแต่มีประโยชน์ประเสริฐกว่า” แล้ว ตรัสภาษิตนี้
อธิบายพุทธภาษิต : คาถาเดียว (แต่มีประโยชน์) เช่น อปฺปมาโท อมตํ ปทํ (ความไม่ประมาท เป็นทางแห่งอมตะ..คนประมาทเหมือนคนที่ตายแล้ว) ประเสริฐกว่า (ดู ธ.อ.๒/๓๕๒-๓๕๙)