ปริยัติธรรม
เกพลิตาโพธิวิหาร
ในยุคสมัยของเรานี้ ถือว่าโชคดีที่เรายังได้ยินคำว่า “พระอรหันต์”คำนี้อยู่บ่อยๆ ผิดกับบางยุคบางสมัย แม้ในประเทศไทยของเรานี้ ผู้คนบางยุคบางช่วงบางสมัยอาจไม่ได้ยินคำนี้ หรือบางยุคบางช่วงอาจไม่มีใครเชื่อว่ามีบุคคลประเภทนี้อยู่ในโลก แต่ในยุคสมัยของเรานี้ถือว่าโชคดีที่เรายังได้ยินคำว่า”พระอรหันต์”คำนี้พอได้คุ้นหู แม้ว่าบางคนจะไม่เชื่อว่ามีได้จริงหรือมีอยู่จริงก็ตาม
คำว่า”ศาสนา”ในพระธรรมวินัยนี้ ท่านจัดศาสนาว่ามี ๓ อย่างคือ ปริยัติศาสนา ปฏิบัติศาสนา และปฏิเวธศาสนา
ปริยัติศาสนา คือคำสอนที่เป็นหลักการประพฤติปฏิบัติ เป็นส่วนทฤษฎีหรือดุจแผนที่ในการเดินทาง มีคัมภีร์ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า”พระไตรปิฎก”
ปฏิบัติศาสนา คือ การลงมือประพฤติปฏิบัติตาม หรือเริ่มออกเดินทางตามลายแทงหรือแผนที่ ที่ได้ศึกษาไว้ดีแล้วจากครูบาอาจารย์ ผู้ที่รู้จักเส้นทางและเดินทางได้อย่างแท้จริงถูกต้องมาแล้ว
ปฏิเวธศาสนา คือ ผลแห่งการเดินทางหรือการบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง อันได้แก่การรู้แจ้งสัจธรรมความจริงของชีวิต หรือการบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ตามลำดับแห่งภูมิจิตภูมิธรรมที่เข้าถึง
ดังนั้น พระอรหันต์ตามพระธรรมวินัยนี้หรือตามหลักการทางพระพุทธศาสนา ก็คือ ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมความจริงอันประเสริฐสูงสุด จิตหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงอย่างเด็ดขาด พ้นอำนาจจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไม่มีความเศร้าหมองขุ่นมัวในดวงใจ ปราศจากความเดือดร้อนใจและความวิตกกังวลกระวนกระวายใดๆ หลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง มี ๔ ประเภท ได้แก่
๑.พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก พระอรหันต์ประเภทแรกนี้คือผู้ที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสสิ้นเชิง แต่ไม่ประกอบด้วยฤทธิ์หรือมีอภิญญามีคุณวิเศษอย่างอื่น คือแม้จิตหลุดพ้นแล้ว แต่อาจไม่มีทิพจักขุ คือไม่มีตาทิพย์ ไม่เห็นนรกสวรรค์ ไม่เห็นภพภูมิอันลี้ลับที่ท่านพรรณนาไว้ แต่คุณธรรมภายในคือความบริสุทธิ์สะอาดภายในดวงจิตของท่านก็ไม่ด้อยกว่าพระอรหันต์ประเภทอื่นแต่อย่างใด
๒.พระอรหันต์เตวิชโช พระอรหันต์ประเภทที่สองนี้ เป็นผู้มีคุณวิเศษประดับ คือนอกจากจะบรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้วยังประกอบด้วยวิชชาสามคือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ในการระลึกชาติก่อนได้ จุตูปปาตญาณ การรู้ว่าคนหรือสัตว์ตายแล้วไปไหน หรือรู้ว่าก่อนมาเกิดเป็นคนหรือสัตว์ในชาตินี้เคยเกิดเป็นอะไรมาก่อน และอาสวักขยญาณ ความรู้ในการสิ้นอาสวะกิเลส นี้คือพระอรหันต์เตวิชโช
๓.พระอรหันต์ฉฬภิญโญ พระอรหันต์ผู้บรรลุอภิญญาหก พระอรหันต์ประเภทนี้ได้คุณวิเศษพิเศษยิ่งกว่าประเภทที่สองข้างต้น กล่าวคือ เมื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานแล้ว ยังได้คุณวิเศษอย่างอื่นด้วยดังนี้คือ
๑.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ย่นระยะทางได้ เดินบนน้ำได้ หายตัวได้ หรือเนรมิตสิ่งต่างๆได้
๒.ทิพพโสต ได้หูทิพย์
๓.เจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่น
๔.ปุเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติก่อนๆได้
๕.ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
๖.อาสวักขยญาณ ญาณหรือความรู้ในการสิ้นอาสวะกิเลส
พระอรหันต์ฉฬภิญโญ คือบรรลุอภิญญาหกนี้ มีอานุภาพมากในการสร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้แก่ผู้คน เรียกกันโดยทั่วไปว่า “พระผู้ทรงอภิญญา” พระอรหันต์ประเภทนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่ปะปนคลุกคลีกับผู้คน เพราะปุถุชนจิตที่มืดมัวด้วยกิเลสอาจล่วงเกินท่านได้ง่าย จะเกิดบาปกรรมแก่พวกเขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะจิตของท่านมักทรงอยู่ในฌานสมาบัติ ไม่ค่อยรับรู้สมมุติหรือกฎเกณฑ์ของสังคมชาวโลก คนจะไม่เข้าใจเพราะท่านมักทำอะไรแผลงๆ ท่านจึงมักหลีกเร้นอยู่ในป่า ในถ้ำ หลีกเร้นจากผู้คน เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญในการจรรโลงพระศาสนา ท่านจึงจะออกมาช่วยเหลือศาสนาในมิติต่างๆ
๔.พระอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโต พระอรหันต์ประเภทที่สี่นี้คือพระอรหันต์ชั้นยอด เป็นผู้บรรลุพระอรหันต์แล้ว มีความแตกฉานในอรรถในธรรม สามารถแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้เข้าถึงธรรมหรือบรรลุตามได้ เป็นการสืบทอดพระศาสนาอย่างแท้จริง พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ที่ยอดเยี่ยมกว่าพระอรหันต์ทั้งปวง แต่ก็เป็นประเภทที่หาได้ยากและมีน้อยมากที่จะมีพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทัปปัตโต
ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นพระอรหันต์มีจิตหลุดพ้นจากสรรพกิเลสแล้ว คุณวิเศษของแต่ละองค์ยังแตกต่างกันไป ตามการสั่งสมบารมีมาของแต่ละองค์ บางองค์อาจหมดสิ้นกิเลสแต่ไม่เคยเห็นเทพบุตรเทพธิดาและสิ่งลี้ลับ บางองค์รู้เห็นอะไรมากมายแต่ก็ไม่มีความสามารถแสดงธรรม บางองค์ได้ทั้งหูทิพย์ตาทิพย์หรือระลึกชาติได้ บางองค์มีบารมียิ่งใหญ่ สามารถแสดงธรรมและประกาศพระศาสนาได้กว้างไกล บางองค์แม้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็อยู่เงียบๆเหมือนพระธรรมดาไม่เป็นที่รู้จักของใครๆก็มี นี้คือวาสนาและบารมีที่สั่งสมมาแตกต่างกันไปของพระอรหันต์แต่ละองค์ แต่ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด ความยิ่งใหญ่ที่เสมอกันก็คือ การดับกิเลสและพ้นทุกข์สิ้นเชิงตลอดสาย ข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้เด็ดขาด
มักได้ยินคำถามบ่อยๆว่า “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครบรรลุพระอรหันต์?” ว่าตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถไปหยั่งหรือตัดสินใครได้อย่างเด็ดขาดว่าใครเป็นพระอรหันต์ นอกจากพระผู้เป็นสัพพัญญูคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะปุถุชนย่อมไม่อาจหยั่งถึงหรือเข้าใจพระโสดาบัน พระโสดาบัน ย่อมไม่รู้จักพระสกทาคามี พระสกทาคามีย่อมไม่รู้จักพระอนาคามี พระอนาคามีย่อมไม่รู้จักพระอรหันต์
เพราะเหตุที่รูปแบบการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย คือการบ่มอินทรีย์ของปุถุชนเพื่อก้าวสู่โสดาปัตติมรรค การปฏิบัติที่เคร่งครัดน่าเลื่อมใสเราจะพบได้ในช่วงการเป็นพระโสดาบันบุคคล ส่วนการอยู่กับความสุขของสมาธิหรือการนั่งหลับตามักเป็นอิริยาบถของพระอนาคามีผู้ไม่ยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่สำหรับผู้จบกิจในพรหมจรรย์หรือบรรลุเป็นพระอรหันต์นั้น จะไม่ท่าทางใดหรือรูปแบบใดตายตัวให้ใครๆวินิจฉัยด้วยความหมายมั่นได้อีกเลย ดุจนายพลหรือแม่ทัพไม่ต้องทำตนแบบนักเรียนนายร้อยอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้ผู้มีปัญญาจึงไม่ปรารถนาจะเที่ยวตามหาพระอรหันต์ เพราะแม้พระโสดาบันก็ยังไม่สามารถหยั่งหรือตัดสินใครว่าเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วปุถุชนคนเราทั่วไปจะไปเอาคุณธรรมหรือคุณวิเศษข้อไหนไปวัดหรือไปตัดสินท่านได้เล่า? เพราะปรากฏอยู่บ่อยๆว่าแม้บุคคลอยู่ใกล้หรืออยู่กับพระอรหันต์แท้ๆ ยังเข้าใจว่าท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ก็มี สิ่งที่เราทั้งหลายพึงกระทำจึงได้แก่การประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าต่างหาก หาใช่การวิ่งตามหาพระอรหันต์แต่อย่างใดไม่
หากใครคิดได้อย่างนี้นั่นแหละคือผู้มี”ปฏิบัติศาสนา”ในดวงใจ แม้จะไม่วิ่งตามหาพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ก็จะมาเยี่ยมและให้กำลังใจในมิติต่างๆ และเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมมูลก็อาจเข้าถึงตัว“ปฏิเวธศาสนา” ได้ในวันหนึ่ง แม้อาจยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ แต่ได้พากเพียรเจริญสติปัฏฐานไป เมื่ออินทรีย์ได้รับการบ่มจนสุกงอม จนสามารถละสังโยชน์ ๓ ประการคือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ได้แล้ว เข้าถึงการเป็นพระโสดาบันบุคคล ก็ไม่มีการตกนรก ไม่เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย ไม่เป็นคนพิการหรือคนต่ำต้อยใดๆอีกแล้ว และเมื่อไปเกิดชาติใหม่ ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา ในดินแดนที่มีพระพุทธศาสนาและจะบรรลุเป็นพระอรหันต์อย่างช้าที่สุดภายใน ๗ ชาติ