หลวงปู่เจี๊ยะ บรรลุอรหันต์ แหวกอวิชชา คว่ำวัฏสงสาร

หลวงปู่เจี๊ยะ บรรลุอรหันต์ แหวกอวิชชา คว่ำวัฏสงสาร

คำสอนพระอริยเจ้า

หนังสือวินาทีบรรลุธรรม พระอรหันต์มีจริง เล่ม 1 โดย เธียรนันท์

ในวงศ์พระกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่เจี๊ยะจะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นที่ยอมรับเรื่องธรรมภายใน กิริยาภายนอกที่สบาย ๆ ท่านเป็นประเภทตรงไปตรงมา ท่านไม่พูดเอาใจเรา แต่คำสอนนั้นเมื่อนำมาประพฤติปฏิบัติ ก็เกิดผลดีกับชีวิตจิตใจเราได้จริงๆ คำสอนประเภทนี้อาจไม่ถูกใจคนบางคนที่นิยมการยกยอปอปั้น แต่เป็นคำสอนประเภททะลุทะลวงเพื่อเข้าสู่ความจริง

โดยเมื่อพรรษาที่ ๑๒ วัย ๓๓ ปี หลวงปู่เจี๊ยะก็สามารถคว่ำวัฏสงสารลงได้

ปี ๒๔๙๒ หลวงปู่เจี๊ยะได้ออกธุดงค์มาถึงป่าเชิงเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ ป่าในยุคนั้นเป็นป่าทึบ อุดมด้วยพืชป่า ชุกชุมด้วยสัตว์ป่า อาทิ เสือ หมี งู กวาง เก้ง นกนานาพันธุ์ แมลง ยุง ชาวบ้านที่จะเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ต้องหักร้างถางพงเพื่อทำนาไร่ เพาะปลูก หรือเป็นพรานป่าออกล่าสัตว์และหาของป่ามาขาย เมื่อถูกชาวบ้านถางถากพื้นที่จึงทำให้ยุงและแมลงที่อาศัยอยู่ตามพงหญ้าบินออกมาให้ว่อน ช่วงที่เพิ่งหักร้างถางพงใหม่ๆ ยุงชุมแทบจะทุกตารางนิ้ว มองไปที่ใดก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยกองทัพยุง นั่นก็เพราะมนุษย์ไปกำจัดที่อยู่อาศัยของพวกมัน

สมัยก่อน ไข้มาลาเรียเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้คน ใครที่เข้าป่าแล้วสามารถรอดชีวิตจากไข้มาลาเรียและสัตว์ป่าดุร้ายได้ถือว่าเก่งกาจมาก ฉะนั้น พระป่ารวมถึงชาวบ้านที่เป็นพรานป่าส่วนใหญ่ล้วนเคยผ่านไข้มาลาเรียกันมาแล้วทั้งสิ้น

ระหว่างปฏิบัติภาวนา ณ ที่แห่งนี้ หลวงปู่เจี๊ยะเกิดจับไข้มาลาเรียอย่างหนัก อาการไข้กำเริบเป็นระยะ แต่ท่านก็ไม่ถอดใจ กลับมุ่งภาวนาโดยใช้ธรรมะเข้าพิจารณาโรคภัยร่วมกับการอดอาหาร ๒-๓ วัน เพื่อเป็นการเร่งความเพียรพิจารณาโรคภัยเบียดเบียนที่เกิดขึ้นเพื่อเอาชนะความทุกข์ในสังสารวัฏ จนกระทั่งเห็นภาวะของจิตที่เป็นสมาธิซึ่งเกี่ยวเนื่องด้วยกายอย่างละเอียดชัดเจน ท่านอธิบายถึงภาวะที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า

“มันยังมีลมหายใจ ลมหายใจมันแรง กายยังเต้นแรง เพราะสังขารของจิตดับแรง กายมันตึ้บๆๆๆ ได้รับรู้ มันไม่สนิท มันต้องประกอบกัน ไม่มีหลับหรอกจิตที่เป็นสมาธิ ใครที่บอกว่า จิตที่เป็นสมาธิหลับไปเหมือนหัวตอ อย่าไปเชื่อเขา มันไม่จริง เราเอาหัวยืนยัน ถึงแม้นตัดหัวเราออก เราก็ไม่เชื่อ เพราะได้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติมาแล้ว”

ผลของการปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ต่อเนื่องด้วยความวิริยะตลอดหลายพรรษาที่ผ่านมาทำให้แจ้งในกระบวนการของ “ความคิด-จิต-สมาธิ-กาย-ภาวนา” หลวงปู่เจี๊ยะกล่าวถึงวินาทีนั้นว่า

“หยุดความค้น ลองวางปั๊บ แหม! ...มันขาดเชียว การขาดครั้งนี้ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา”

ณ วินาทีเหนือทุกข์นั้น หลวงปู่เจี๊ยะกล่าวโศลกธรรมให้ลูกศิษย์ฟังว่า

จิตมีอิสรภาพอย่างสูงสุด ปล่อยวางสังขารโลก คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะอันเป็นประดุจตาข่ายด้วยการฮุกหมัดเด็ดคือ "วิปัสสนาญาณ" เข้าปลายคาง อวิชชาถึงตายไม่มีวันฟื้น พระพุทธเจ้าพระองค์อยู่ที่ใดทราบได้อย่างประจักษ์ใจ

คำว่า "เป็นหนึ่ง" นั้นไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อได้อีก ภพชาติที่หมุนวนมาตั้งกัปตั้งกัลป์นั้นเป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภัยได้ ชาติสังขารอยู่ที่ใด ใจไม่เกี่ยวเกาะ สิ่งที่จิตเคยเกี่ยวเกาะถูกลบด้วยธรรมชาติที่เป็นหนึ่งนั้น จะว่าบริสุทธิ์ก็พอจะคาดได้ แต่ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็นอจินไตยสำหรับปุถุชน ไม่ควรคิดถามให้ปวดหัว

ความงกเงิ่นเนิ่นช้าถูกเราทำลายและถากถางเข้าไปใกล้โดยตลอด ถูกทะลุทะลวงด้วยปัญญาญาณ โหมโรมแรงด้วย ศรัทธา-วิริยะ-สติ-สมาธิ-ปัญญา เป็นกำลังหนุน ด้วยการบ่มอินทรีย์มาเป็นอย่างดี ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ นี้ไม่มีช่องทางให้อวิชชาเดิน ถูกปิดด้วย มหาสติ มหาปัญญา วิปัสสนาญาณตีตะล่อมเข้าภายใน หักล้างอวิชชาอันเป็นตัวการ จิตปล่อยจิต เป็นธรรมอันเดียว เป็นธาตุที่บริสุทธิ์ เป็นมหัศจรรย์ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทางสมาธิปัญญาใดที่เคยผ่านมา”

หลวงปู่เจี๊ยะเดินบนเส้นทางธรรมด้วยความเพียรอันเป็นวิริยะของอริยะที่ไม่ถอยหลังสู่ฆราวาสมานาน ๑๒ พรรษา จวบจนกระทั่งอายุ ๓๓ ปี จึงคว่ำวัฏสงสารที่มีมานานนับชาติภพไม่ถ้วนหมดสิ้นได้


พิมพ์